แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 95
1
การเริ่มต้นธุรกิจ อาชีพเสริม ของคุณเองให้ได้กำไร

การเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมให้ได้กำไรนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. สำรวจความถนัดและความสนใจ:

ค้นหาทักษะและความสามารถ: พิจารณาว่าคุณมีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญในด้านใด เช่น การทำอาหาร, งานฝีมือ, การออกแบบ, หรือการเขียน
ค้นหาความสนใจ: เลือกทำในสิ่งที่รักและสนใจ จะช่วยให้คุณมีความสุขและมีแรงจูงใจในการทำงาน
ศึกษาตลาด: สำรวจความต้องการของตลาด เพื่อหาช่องว่างและโอกาสในการสร้างธุรกิจ

2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง
สร้างแบรนด์: พัฒนาชื่อ โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์
เลือกช่องทางการขาย: พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์, ออฟไลน์, หรือผสมผสาน
กำหนดราคา: กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด
วางแผนการตลาด: กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ

3. เตรียมความพร้อม:

จัดเตรียมอุปกรณ์และสถานที่: เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจ
ขอใบอนุญาต (ถ้ามี): ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
เตรียมเงินทุน: กำหนดงบประมาณและเตรียมเงินทุนที่จำเป็น

4. เริ่มต้นธุรกิจ:

สร้างสินค้าหรือบริการ: สร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ทำการตลาด: โปรโมทธุรกิจของคุณผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือการตลาดแบบปากต่อปาก
ขายสินค้าหรือบริการ: เริ่มต้นขายสินค้าหรือบริการของคุณให้กับลูกค้า

5. พัฒนาและเติบโต:

รับฟังความคิดเห็น: รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อปรับปรุงธุรกิจของคุณ
พัฒนาทักษะ: พัฒนาทักษะและความรู้ของคุณอย่างต่อเนื่อง
ขยายธุรกิจ: พิจารณาขยายธุรกิจของคุณเมื่อมีโอกาส

ตัวอย่างอาชีพเสริมที่น่าสนใจ:

ขายสินค้าออนไลน์: ขายสินค้าทำมือ สินค้าวินเทจ หรือสินค้าดรอปชิป
ให้บริการออนไลน์: ให้บริการเขียนบทความ ออกแบบกราฟิก หรือแปลภาษา
สร้างเนื้อหาออนไลน์: สร้างบล็อก ช่อง YouTube หรือพอดแคสต์
สอนออนไลน์: สอนภาษา สอนทำอาหาร หรือสอนทักษะอื่นๆ
ทำการตลาดออนไลน์: รับจ้างทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจต่างๆ
อาหารสตรีทฟู้ด: ขายอาหารริมทางเช่น หมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด หรือขนมต่างๆ
ขนมโฮมเมด: ทำขนมเค้ก คุกกี้ หรือขนมไทยขาย

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างความแตกต่าง: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนใคร
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ
จัดการเวลา: จัดสรรเวลาให้เหมาะสมระหว่างงานประจำและธุรกิจเสริม
เรียนรู้และปรับตัว: เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

2
การคำนวณขนาดของท่อลมร้อน: กุญแจสำคัญสู่ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ

การคำนวณขนาดของท่อลมร้อนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการออกแบบระบบระบายอากาศ เพราะขนาดของท่อที่เหมาะสมจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการดูดอากาศและกำจัดสิ่งปนเปื้อน หากขนาดท่อเล็กเกินไป อากาศจะไหลช้าและอาจเกิดการอุดตันได้ หากขนาดท่อใหญ่เกินไป จะสิ้นเปลืองพลังงานและอาจทำให้เกิดเสียงดัง

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการคำนวณขนาดท่อลม

ปริมาณอากาศ: ปริมาณอากาศที่ต้องการดูดออกจะขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่, ชนิดของงานที่ทำ และปริมาณของสิ่งปนเปื้อน
ความเร็วของอากาศ: ความเร็วของอากาศภายในท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดันและเสียงดัง
ความยาวของท่อ: ความยาวของท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดัน
จำนวนโค้ง: จำนวนโค้งของท่อจะส่งผลต่อการสูญเสียแรงดัน
วัสดุของท่อ: วัสดุของท่อจะส่งผลต่อความต้านทานการไหลของอากาศ

วิธีการคำนวณขนาดท่อลม
การคำนวณขนาดท่อลมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม แต่โดยทั่วไปจะใช้หลักการดังนี้

คำนวณปริมาณอากาศ: คำนวณปริมาณอากาศที่ต้องการดูดออกจากพื้นที่นั้นๆ โดยพิจารณาจากขนาดของพื้นที่, ความสูงของเพดาน, และปริมาณของสิ่งปนเปื้อน
เลือกขนาดท่อ: เลือกขนาดของท่อให้เหมาะสมกับปริมาณอากาศที่คำนวณได้ โดยพิจารณาจากความเร็วของอากาศที่ต้องการ
คำนวณความยาวของท่อ: คำนวณความยาวของท่อทั้งหมด รวมถึงส่วนโค้งต่างๆ
คำนวณการสูญเสียแรงดัน: คำนวณการสูญเสียแรงดันที่เกิดจากความยาวของท่อ จำนวนโค้ง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้ง
เลือกพัดลม: เลือกพัดลมที่มีกำลังเพียงพอที่จะสร้างแรงดันเพื่อเอาชนะการสูญเสียแรงดันในระบบท่อ
โปรแกรมช่วยคำนวณขนาดท่อลม
ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์หลายโปรแกรมที่ช่วยในการคำนวณขนาดท่อลมได้อย่างแม่นยำ เช่น AutoCAD, Revit, และโปรแกรมเฉพาะทางด้านระบบระบายอากาศ โปรแกรมเหล่านี้จะช่วยให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบระบายอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง

การคำนวณขนาดท่อลมควรทำโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
การออกแบบระบบระบายอากาศควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความสวยงาม
ควรเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน

สรุป

การคำนวณขนาดของท่อลมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรม การเลือกใช้โปรแกรมช่วยคำนวณจะช่วยให้การออกแบบระบบระบายอากาศมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคุณต้องการออกแบบระบบระบายอากาศสำหรับโรงงาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

3
ซ่อมบำรุงอาคาร: วิธีซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว!

ปัญหาน้ำรั่วบริเวณฝ้าเพดาน นับว่าเป็นปัญหายอดฮิตของคนมีบ้าน และหนักใจเพราะไม่รู้จะหาวิธีการใดในการแก้ไข เพราะเนื่องจากเป็นปัญหาที่ดูแล้วอาจจะแก้ไขได้ยาก อาจจะต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่วกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งหากไม่แก้ไข ฝ้าเพดานรั่ว ก็อาจส่งผลให้เกิดคราบสกปรก ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่ยากต่อการจัดการได้ เช่น คราบดำ เชื้อรา หรือเพดานบวม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้บ้านของเราดูเก่า ไม่น่ามอง อาจจะทำให้เสียบรรยากาศการพักผ่อนไปได้เลยทีเดียว สำหรับปัญหาการรั่วซึมของน้ำบริเวณฝ้าเพดาน มักมีสาเหตุที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป


ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ปัญหาที่เกิดจากการที่ห้องหรือบริเวณที่มีปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ที่เกี่ยวข้องกับห้องที่ติดตั้งระบบประปา ตลอดจนความชื้นโดยตรง นอกจากนี้ หากไม่ได้รับการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ช่างเก็บงานไม่ละเอียด ก็ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวนี้ได้ สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหานั้น เราก็ต้องมาดูที่ต้นตอว่า สาเหตุของการรั่วซึมนั้นเกิดจากอะไร เพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด ส่วนสาเหตุของการรั่วซึมที่มักจะพบได้บ่อยคือ การติดตั้งท่อน้ำทิ้งที่ไม่ดี จนส่งผลให้น้ำไหลทิ้งบริเวณด้านนอก เพราะฉะนั้น หากพบว่าที่บ้านมีปัญหาน้ำรั่วบนฝ้าเพดานแล้ว ควรตรวจสอบจุดนี้เป็นลำดับแรก ๆ ก่อนลงมือซ่อมเพดานน้ำรั่ว ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาฝ้าเพดานรั่วซึมในเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตนเองมาฝากกัน

ก่อนอื่นที่เราจะมาพูดถึงวิธีการแก้ไข เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัญหาฝ้าเพดานรั่ว มีสาเหตุมีจากส่วนไหน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจาก น้ำรั่ว น้ำซึม หรือการกักเก็บความชื้นจากห้องน้ำ ตลอดจนงานระบบประปาที่ห้องด้านบน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่ได้ผลและไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการซ่อมฝ้าเพดานน้ำรั่ว อีกก็คือ การทำให้ปัญหาน้ำรั่วซึมหายไป โดยแก้ไขจากต้นตอของสาเหตุ หากเกิดปัญหาท่อประปาบริเวณฝ้าเพดาน หรือมีการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำไม่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ฝ้าเพดานรั่วที่เกิดขึ้นได้บ่อย


โดยเฉพาะการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ ที่ไม่ตรงกับรูท่อที่เจาะลงพื้น จนทำให้การระบายน้ำทิ้งทำได้ไม่ดี สุดท้ายแล้วจึงทำให้เกิดการรั่วซึมบริเวณชั้นล่างตามมา เราสามารถแก้ไขโดยการปิดรอยรั่วซึมที่ท่อน้ำ ขั้นตอนแรกของการแก้ไขปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ก็คือ การเปิดฝ้าเพดาน โดยจะต้องเป็นบริเวณการรั่วซึม หรือจุดที่คิดว่าเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น หลังจากนั้นให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชู ไปพันไว้ตามจุดที่คิดว่ารั่วซึม แล้วให้ลองสังเกตว่ามีความชื้นเกาะตัวอยู่ที่ผ้าหรือทิชชูหรือไม่ หากมีก็ให้ซ่อมแซมท่อบริเวณจุดต่าง ๆ นั้นให้เรียบร้อย หรืออีกวิธีที่ได้ผลก็คือการทำกันซึมที่ต้อตอของสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณร่องยาแนวที่เสื่อมและทำให้น้ำไหลลงปูน วิธีการแก้ไขก็คือ การเปลี่ยนยาแนวใหม่ทั้งหมด


เริ่มจากทำความสะอาดพื้นผิวให้สะอาดเรียบร้อยโดยการขูดร่องยาแนวเดิมออกให้หมด จากนั้นผสมกาวยาแนวตามอัตราส่วน ทำการปาดกาวยาแนวที่ผสมไว้ โดยให้ปาดในมุม 45 องศา และเมื่อกาวยาแนวเริ่มแห้งหมาด ๆ แล้ว ให้นำฟองน้ำชุบน้ำบิดให้แห้งพอหมาด ๆ หลังจากนั้น ให้นำไปเช็ดกาวยาแนวส่วนที่เกินออกให้เรียบร้อย หากมีเวลา และอยากแก้ไขปัญหาให้จบแนะนำให้ทำการแก้ไขที่ห้องน้ำด้านบนเลยจะดีที่สุด เพราะจะทำให้ปัญหา ฝ้าเพดานรั่ว ที่มีหายไปได้อย่างหมดจด ซึ่งเราสามารถเรียกช่างที่มีความชำนาญมาแก้ไขให้ได้ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรวจุด ไม่ต้องคอยกังวลว่า เพดานบ้านของคุณจะเกิดการรั่วซึมอีก

อย่างไรก็ตาม ทางเรา อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ทางเรามีบริการทำความสะอาดบ้าน หรือภายในอาคารต่างๆ รวมไปถึงยังมีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เพราะเราห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรกเสมอ

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
Doctor At Home: ไข้ซิกา (Zika fever)

ไข้ซิกาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ ส่วนน้อยที่มีอาการเจ็บป่วยนั้นมักจะมีอาการเพียงเล็กน้อย หายได้เอง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในคนทั่วไป ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อทารกในครรภ์


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุลฟลาวิไวรัส (Flavivirus) เช่นเดียวกับไวรัสเด็งกี่ (เชื้อไข้เลือดออก) และมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรคเช่นเดียวกับไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย ดังนั้นจึงพบโรคนี้ระบาดในพื้นที่เดียวกับที่มีการระบาดของไข้เลือดออกและไข้ปวดข้อยุงลาย

นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อไวรัสซิกาสามารถแพร่จากมารดา (หญิงที่ตั้งครรภ์) ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ และมีรายงานว่าเชื้อนี้อาจติดต่อทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์

ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-12 วัน (เฉลี่ย 4-7 วัน)


อาการ

ผู้ติดเชื้อไวรัสซิการาวร้อยละ 80 ไม่มีอาการแสดงของโรค มีราวร้อยละ 20 ที่จะมีอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดขึ้นหลังถูกยุงลายบ้านกัดประมาณ 3-12 วัน

มักมีอาการไข้เล็กน้อย ขึ้นเป็นผื่นแดงตามแขนขาและลำตัว ตาแดง (เยื่อตาขาวอักเสบ) มีอาการปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ และอาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลียร่วมด้วย

อาการมักจะเป็นเพียงเล็กน้อย และเป็นอยู่นานประมาณ 2-7 วัน


ภาวะแทรกซ้อน

สำหรับคนทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ยกเว้นในบางรายอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรได้ ซึ่งจะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขา 2 ข้างและลำตัวอ่อนแรงเฉียบพลัน

ที่สำคัญ หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคนี้ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ เช่น ทำให้แท้งบุตร ทารกมีสมองเล็ก (Microcephaly) หรือสมองพิการร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ อาจทำให้ทารกเป็นกลุ่มอาการไข้ซิกาโดยกำเนิด (Congenital Zika Syndrome) ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติหลายอย่างร่วมกัน เช่น สมองเล็กอย่างรุนแรงร่วมกับกะโหลกบางส่วนยุบ เนื้อสมองถูกทำลาย ตาพิการ ข้อพิการ (เคลื่อนไหวลำบาก) กล้ามเนื้อเกร็งตัว (ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวลำบาก) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

    ไข้ ตัวร้อนเล็กน้อย
    ผื่นแดง
    ตาแดง


ในรายที่ไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสซิกาในเลือดหรือปัสสาวะของผู้ป่วย


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้พาราเซตามอล แก้ปวดลดไข้

ผู้ป่วยมักจะหายได้เองภายใน 2-7 วัน

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม (เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์) ดูว่าทารกในครรภ์มีความผิดปกติของสมองหรือไม่ และให้การดูแลตามที่เหมาะสม


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดข้อ หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้ซิกา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้ซิกา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนก) เนื่องเพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้สูง หนาวสั่นมาก หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์
    มีอาการซึมมาก เบื่ออาหาร อาเจียน หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ทำลายแหล่งเพาะยุงลาย และหาวิธีป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด (ดูหัวข้อ "การป้องกัน ในโรคไข้เลือดออก" เพิ่มเติม)

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่หรือประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ หากจำเป็นควรป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวให้มิดชิด ทายาป้องกันยุงกัด และนอนในมุ้งหรือห้องที่ติดมุ้งลวด


ข้อแนะนำ

1. ไข้ซิกามักพบในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก และอาจมีอาการไข้ ผื่นขึ้นคล้ายไข้เลือดออก (ระยะแรก) ผู้ที่มีไข้ ผื่นขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ และติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากสงสัยเกิดภาวะช็อก หรือมีเลือดออก ก็ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

2. หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่หรือเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้ซิกา ควรคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ และหากเป็นไข้ซิกา ควรคุมกำเนิดเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 เดือน

หากสามีป่วยเป็นไข้ซิกา หรือมีประวัติเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาด ควรคุมกำเนิด และใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

6
ไอเดียง่าย ๆ แต่งห้องมินิมอลและการเลือกของตกแต่งบ้าน

การแต่งห้องสไตล์ มินิมอล (Minimalist) คือการสร้างสรรค์พื้นที่ที่เรียบง่าย สะอาดตา และเน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลักค่ะ เป็นสไตล์ที่ตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป คงไว้ซึ่งความสงบและโปร่งสบาย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความไม่ซับซ้อนและต้องการพื้นที่ที่ช่วยให้จิตใจสงบ ลองมาดูไอเดียง่ายๆ ในการแต่งห้องและเลือกของตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลกันค่ะ

หลักการสำคัญของสไตล์มินิมอล

น้อยแต่มาก (Less is More): เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่เน้นคุณภาพและดีไซน์

ฟังก์ชันต้องมาก่อน (Form Follows Function): ทุกชิ้นต้องมีประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียว

ความสะอาดและเป็นระเบียบ: ห้องมินิมอลต้องจัดระเบียบอยู่เสมอ ไม่มีของวางเกะกะ

โทนสีเรียบง่าย: เน้นสีกลางๆ เป็นหลัก


ไอเดียง่ายๆ ในการแต่งห้องสไตล์มินิมอล

1. โทนสี
สีหลัก: ใช้สีขาวเป็นสีหลักสำหรับผนังและเพดาน เพื่อให้ห้องดูกว้างขวาง สว่าง และสะอาดตา

สีรอง: เพิ่มความอบอุ่นด้วยสีกลางๆ เช่น สีเบจ ครีม เทาอ่อน หรือ สีไม้ธรรมชาติ สำหรับเฟอร์นิเจอร์หลักๆ

สีเน้น (Accent Color): อาจมีสีเข้มหรือสีพาสเทลเล็กน้อยสำหรับของตกแต่งชิ้นเล็กๆ เพื่อไม่ให้ห้องดูจืดชืดเกินไป แต่ควรเป็นสีที่ไม่ฉูดฉาด

2. เฟอร์นิเจอร์
เลือกชิ้นที่จำเป็น: เช่น เตียง โซฟา โต๊ะทำงาน ชั้นวางของเท่าที่จำเป็น

เน้นดีไซน์เรียบง่าย: เฟอร์นิเจอร์ควรมีรูปทรงเรขาคณิต เส้นสายสะอาดตา ไม่มีลวดลายแกะสลักหรือตกแต่งเยอะ

วัสดุธรรมชาติ: เน้นวัสดุอย่าง ไม้เนื้ออ่อน (เช่น ไม้โอ๊ค เมเปิล) โลหะสีดำ/ขาว หรือผ้าฝ้าย

มีฟังก์ชันซ่อนเร้น: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันการจัดเก็บในตัว เช่น เตียงที่มีลิ้นชัก โต๊ะกลางที่มีช่องเก็บของ เพื่อซ่อนสิ่งของไม่ให้รกตา

3. การจัดวาง
เว้นพื้นที่ว่าง: การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ควรเหลือพื้นที่ว่างรอบๆ เพื่อให้ห้องดูโปร่ง โล่งสบาย ไม่แน่นทึบ

จัดระเบียบ: เก็บของให้เข้าที่เข้าทางอยู่เสมอ อาจใช้กล่องเก็บของสวยๆ หรือลิ้นชักสำหรับซ่อนของ

4. แสงสว่าง
แสงธรรมชาติ: พยายามให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด อาจใช้ผ้าม่านโปร่งแสงสีอ่อนๆ

โคมไฟ: เลือกโคมไฟที่มีดีไซน์เรียบง่าย ทันสมัย หรือสไตล์สแกนดิเนเวีย ให้แสงสีวอร์มไวท์ (Warm White) เพื่อเพิ่มความอบอุ่น


การเลือกของตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล
ของตกแต่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มห้องมินิมอลให้มีชีวิตชีวา แต่ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันค่ะ


1. แจกันเซรามิก

ทำไมถึงใช่: แจกันเป็นของตกแต่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สามารถเติมชีวิตชีวาด้วยดอกไม้หรือกิ่งไม้สวยๆ

เคล็ดลับการเลือก:

รูปทรง: เน้นรูปทรงเรขาคณิต เช่น ทรงกระบอก ทรงกลม หรือรูปทรงที่เรียบง่าย โค้งมน ไม่ซับซ้อน

สี: สีขาว สีดำ สีเทา สีเบจ หรือสีเอิร์ธโทน จะเข้ากับสไตล์มินิมอลได้ดีเยี่ยม

พื้นผิว: ผิวด้าน (matte) จะให้ความรู้สึกอบอุ่นและทันสมัย หรือผิวมันเงาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหรูหรา


2. ต้นไม้มงคล/ต้นไม้ฟอกอากาศ

ทำไมถึงใช่: ช่วยเพิ่มสีเขียวและความสดชื่นให้กับห้อง สร้างความผ่อนคลายและเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

เคล็ดลับการเลือก:

ชนิด: เลือกต้นไม้ที่ดูแลง่าย เช่น ลิ้นมังกร ยางอินเดีย มอนสเตอร่า พลูด่าง กวักมรกต

กระถาง: ใส่ในกระถางเซรามิกสีขาว เทา ดำ หรือกระถางดินเผาเรียบๆ ไม่มีลวดลายเยอะ


3. กรอบรูป/งานศิลปะเรียบง่าย

ทำไมถึงใช่: เป็นจุดดึงดูดสายตาและเพิ่มความเป็นตัวตนให้กับห้อง

เคล็ดลับการเลือก:

รูปภาพ: เลือกภาพวิวทิวทัศน์ ภาพ Abstract หรือภาพถ่ายขาวดำ ที่มีองค์ประกอบไม่เยอะ

กรอบ: กรอบไม้สีอ่อน กรอบโลหะสีดำ/ขาว หรือกรอบแบบบาง เพื่อไม่ให้แย่งซีนตัวภาพ


4. ผ้าตกแต่ง (หมอนอิง/ผ้าคลุม)

ทำไมถึงใช่: ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ ความอบอุ่น และความน่าสนใจให้กับโซฟาหรือเตียง

เคล็ดลับการเลือก:

สี: เลือกสีพื้น หรือสีเอิร์ธโทนที่กลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์

วัสดุ: ผ้าฝ้าย ลินิน หรือผ้าถักไหมพรม ที่มีผิวสัมผัสเป็นธรรมชาติ


5. เทียนหอม/ก้านหอมปรับอากาศ
ทำไมถึงใช่: ไม่เพียงแต่ให้กลิ่นหอม แต่ยังเป็นของตกแต่งที่สวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย


เคล็ดลับการเลือก:

กลิ่น: เลือกกลิ่นที่อ่อนโยน สดชื่น หรือกลิ่นธรรมชาติ เช่น ชาขาว ลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส กลิ่นไม้จันทน์

บรรจุภัณฑ์: เลือกแบบที่เรียบง่าย ขวดแก้วใส หรือภาชนะเซรามิก

ข้อควรจำสำหรับสไตล์มินิมอล
ทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น: ลองสำรวจดูว่ามีของอะไรที่คุณไม่ใช้แล้ว หรือมีซ้ำๆ กันหลายชิ้นหรือไม่ การกำจัดสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ห้องดูสะอาดตาขึ้นมาก

ทุกสิ่งมีที่อยู่: กำหนดที่เก็บของแต่ละชิ้นให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บและไม่วางเกะกะ

แสงและเงา: ใช้แสงธรรมชาติและแสงจากโคมไฟมาสร้างมิติให้กับห้อง

ความสมดุล: แม้จะเรียบง่าย แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสมดุลในการจัดวาง เพื่อไม่ให้ห้องดูน่าเบื่อ

การแต่งห้องสไตล์มินิมอลไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีของตกแต่งเลย แต่เป็นการเลือกสรรของที่มีคุณค่า มีความหมาย และใช้งานได้จริง มาจัดวางอย่างเรียบง่าย เพื่อสร้างพื้นที่ที่สงบและเป็นระเบียบค่ะ ขอให้สนุกกับการแต่งบ้านนะคะ!

7
ดูแลตนเองอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติที่มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้ก่อเป็นเนื้อร้ายแพร่ไปยังอวัยวะของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายทางน้ำเหลือง หรือการแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เริ่มแสดงอาการ

ด้วยพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมในปัจจุบัน ที่แข่งขันเร่งรีบและการรับประทานอาหารไม่ถูกหลัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ย่อมต้องส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ประชากรทั่วโลกเจ็บป่วย ก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติที่มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้ก่อเป็นเนื้อร้ายแพร่ไปยังอวัยวะของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายทางน้ำเหลือง หรือการแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เริ่มแสดงอาการ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาการของมะเร็งปอด ผู้ป่วยอาจแสดงอาการไอหรือเริ่มมีอาการปอดอักเสบ, อาการของผู้ที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจมีการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ หรือผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมจะคลำพบก้อนแข็ง ๆ บริเวณเต้านม เป็นต้น

ถึงแม้โรคมะเร็งจะเกิดจากหลายสาเหตุทั้งที่สามารถป้องกันได้และไม่สามารถป้องกันได้ แต่เมื่อคุณยังไม่เจอกับภาวะโรคร้ายนี้ ทางที่ดีก็ควรดำเนินชีวิตให้ห่างไกลจากความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดเนื้อร้าย และสิ่งสำคัญหากคุณสงสัยว่ามีอาการผิดปกติที่เข้าข่ายจะเป็นอาการของโรคมะเร็งควรรีบพบแพทย์เพื่อจะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกรซึ่งยังมีโอกาสที่จะหายจากโรคร้ายนี้ได้

10 วิธีลดความเสี่ยงมะเร็ง

เลิกบุหรี่

ในแต่ละปี มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่าง ๆ ทั้งหมด ดังนั้นหากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญ ที่สุดที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่น ๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิก แบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้อย่างถาวร


ทานอาหารที่มีประโยชน์

หลายคนคงยังจำได้ดีเวลา ถูกพ่อแม่บังคับให้กินผักและก็คง ไม่ได้คิดว่า พวกท่านจะทราบอะไรดี ๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้ กลับเป็นประโยชน์ล้นเหลือ ต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อคโคลี่  กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาวที่น้อยคนจะโปรดปรานนั้น กลับอุดม ไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วน ประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียวก็ได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับ ไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสาร ต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วย ร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจ กลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ


ออกกำลังกายให้มากขึ้น

การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็ง เต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกาย ในที่นี้ไม่จำเป็น ต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬาการเล่นโยคะ เดินหรือเต้นแอโรบิก ก็ถือเป็นการ ออกกำลังกายที่ช่วยต่อสู้กับ มะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็น โรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด


ตรวจและหาให้เจอแต่เนิ่นๆ

มีหลักฐานยืนยันมากมายจนไม่อาจปฏิเสธว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งเร็วขึ้นเท่าไร โอกาสที่จะ รักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และ การตรวจเจอแต่เนิ่นๆ ก็ยังช่วยให้ การรักษาฟื้นฟู ทำได้เร็วขึ้นโดย มีผลข้างเคียงน้อยลง ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะมะเร็งควร ตรวจร่างกายอย่าง สม่ำเสมอและขอคำแนะนำ จากแพทย์เรื่องการตรวจ คัดกรองมะเร็ง ที่เหมาะกับวัยของคุณ (เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไปควร ทำแมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม) แม้มะเร็งอาจไม่แสดงอาการใน ระยะเริ่มแรก แต่การตรวจคัดกรองที่ เหมาะสมช่วยให้สามารถพบมะเร็งได้เกือบทุกชนิด


ดื่มแต่พอดี

การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ การดื่มแอลกอฮอล์ (โดย เฉพาะหากคู่มากับการสูบบุหรี่)เป็นสาเหตุ หลักในการเกิดมะเร็งช่องปากและลำคอ อีก ทั้งมีส่วนเกี่ยวพันกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค หัวใจดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ แต่หากคุณสามารถจำกัดการดื่มลงให้เหลือ แค่ 2 แก้วต่อวันจะเป็นการดีที่สุด


มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญ ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่ ประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา วัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV และได้รับการ รับรองให้ใช้ได้


หลีกเลี่ยงแสงแดด

รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสง แดดโดยตรงในช่วง เวลา 10.00 - 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้ม สูงสุด


นอนหลับให้สนิท

ผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่สมองผลิตใน ระหว่าง การนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกัน มะเร็งได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่าง สนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น


สืบสาวเรื่องราวครอบครัว

มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรือพูดง่ายๆ ก็คือ โรคมะเร็ง สามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้น การได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณ มีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็ง ชนิดใดถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วย ของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อ แพทย์จะสามารถให้คำแนะนำ และดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม


หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย

สารจำพวก ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้นเต็มไปด้วย สารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อม รอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สาร เคมีเหล่านี้ ในบ้านหรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการ สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้ กับผ้าเฟอร์นิเจอร์และสินค้า อิเล็กโทรนิกต่างๆ ด้วยเช่นกันมะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไหน

    การถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการถ่ายทอดเชื้อมะเร็งจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเสมอไป
    เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย อย่างเช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภาวะทุพโภชนาการที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารผิดสัดส่วนทั้งขาดและเกิน ส่งผลให้ร่างกายเกิดความไม่สมดุล
    สัมผัสหรือได้รับสารก่อมะเร็ง อย่างเช่น ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ การได้รับเชื้อราที่มักจะปนเปื้อนมากับอาหารประเภทอัลฟาท็อกซิล การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การรับประทานที่ใส่ดินประสิวเป็นประจำ ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดและอาหารส่วนที่ไหม้เกรียม ไปจนผู้ที่โดนแสงแดดจัดและได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานานและเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้


พฤติกรรมที่ควรทำ และควรเลี่ยง เพื่อห่างไกลโรคมะเร็ง

    งดสูบบุหรี่และอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
    รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและรับประทานอาหารอย่างสมดุล โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผักผลไม้ที่หลากหลาย เน้นการรับประทานอาหารประเภทธัญพืชและอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    อย่ารับประทานอาหารที่หมดอายุหรือมีเชื้อรา
    ลด หรืองดเว้นการรับประทานอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง และหมักดอง
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานาน ๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาอุปกรณ์เพื่อช่วยป้องกันร่างกายหรือผิวหนังจากแสงแดด และควรทาครีมกันแดดทั้งผิวหน้าและผิวกาย
    ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
    ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ
    หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดความเครียด
    ตรวจร่างกายประจำปีเป็นประจำทุกปี
    หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปกติซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที

8
โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)

โรคกรดไหลย้อน (น้ำย่อยไหลกลับ เกิร์ด ก็เรียก) หมายถึงภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดไหลย้อนขึ้นไประคายเคืองต่อหลอดอาหารและลำคอ

พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย พบมากในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็กเล็กและคนหนุ่มสาวได้

สาเหตุ

เกิดจากภาวะหย่อนสมรรถภาพของหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter)* ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดส่วนนี้ปิดไม่สนิท เปิดช่องให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร น้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดก็จะระคายเคืองต่อเยื่อบุหลอดอาหาร เกิดอาการของโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อยเรื้อรังและเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

บางรายอาจมีกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนผิดปกติร่วมด้วย (เรียกว่า "Laryngopharyngeal Reflux/LPR") เปิดช่องให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ลำคอ กล่องเสียง หลอดลม รวมทั้งอาจไปที่จมูก โพรงไซนัส และช่องหู ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุของอวัยวะเหล่านี้ ทำให้เกิดอาการไม่สบายเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้หูรูดดังกล่าวหย่อนสมมรรถภาพยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมตามอายุหรือหูรูดยังเจริญได้ไม่เต็มที่ (ในทารก) หรือมีความผิดปกติโดยกำเนิด

พบว่ามีปัจจัยหลายประการที่ทำให้อาการกำเริบ เช่น

    การกินอิ่มมากไป กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก
    การนอนราบ การนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำทำให้น้ำย่อยไหลย้อนง่ายขึ้น
    ภาวะอ้วน การตั้งครรภ์ การรัดเข็มขัดแน่นหรือใส่กางเกงคับเอว จะเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหารทำให้น้ำย่อยไหลย้อน
    การดื่มแอลกอฮอล์หรือกาเฟอีน (ชา กาแฟ ยาชูกำลังเข้าสารกาเฟอีน) นอกจากกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งมากแล้ว ยังเสริมให้หูรูดหย่อนคลายอีกด้วย
    การสูบบุหรี่ การกินอาหารมัน อาหารผัดหรือทอดอมน้ำมัน อาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำอัดลม น้ำผลไม้เปรี้ยว (เช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลตหรือสะระแหน่ การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตาและกลุ่มต้านแคลเซียม ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน เป็นต้น) จะเสริมให้หูรูดหย่อนคลายหรือน้ำย่อยหลั่งมากขึ้น
    การมีไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia/diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ จะทำให้หูรูดอ่อนแอมากยิ่งขึ้น
    โรคหืด เชื่อว่าเป็นผลมาจากการไอและหอบ ทำให้เพิ่มแรงดันในช่องท้องจึงเกิดภาวะกรดไหลย้อน รวมทั้งการใช้ยาขยายหลอดลมก็มีส่วนทำให้หูรูดหย่อน
    เบาหวาน เมื่อเป็นนาน ๆ มีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะอาหารขับเคลื่อนช้า จึงมีกรดไหลย้อนได้
    แผลเพ็ปติก แผลหรือรอยแผลเป็นที่ปลายกระเพาะอาหาร การใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น หรือยาแอนติโคลิเนอร์จิก ทำให้อาหารขับเคลื่อนสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้

*ขณะกลืนอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารจะหย่อนคลายเพื่อเปิดให้อาหารไหลผ่านลงไปในกระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนหมดแล้ว หูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้น้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร ทำอันตรายต่อเยื่อบุหลอดอาหารได้


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่หรือยอดอก (heartburn) หลังกินอาหาร 30-60 นาที หรือหลังกินอาหารแล้วล้มตัวลงนอนราบ นั่งงอตัวโค้งตัวลงต่ำ มีการรัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดนานประมาณ 2 ชั่วโมง

บางรายอาจมีอาการปวดแสบร้าวจากยอดอกขึ้นไปถึงคอหอย คล้ายโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือมีอาการจุกแน่นยอดอกคล้ายอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ หรือเรอบ่อย

บางรายอาจมีอาการขย้อนหรือเรอเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวขึ้นไปที่คอหอย หรือรู้สึกมีรสขมของน้ำดี  หรือรสเปรี้ยวของกรดในปากหรือคอ หรือหายใจมีกลิ่น

ในรายที่มีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง กล่าวคือ ไหลขึ้นไปถึงปากและคอหอย อาจมีอาการกระแอมไอบ่อยหรือรู้สึกมีเสมหะอยู่ในคอหรือระคายคอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารหรืออยู่ในท่านอนราบ

บางรายตอนตื่นนอนอาจรู้สึกขมคอ เปรี้ยวปากอาจมีเสียงแหบ (เนื่องจากน้ำย่อยระคายจนกล่องเสียงอักเสบ) เจ็บคอ แสบลิ้น หรือไอเรื้อรัง (น้ำย่อยระคายคอหอยและหลอดลม) ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์เนื่องอาการเหล่านี้แบบเรื้อรัง

บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น มีอาการกลืนอาหารแข็งลำบาก เนื่องจากปล่อยให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังจนตีบตัน

ส่วนในรายที่มีภาวะกรดไหลย้อนเพียงเล็กน้อยก็อาจไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตเห็นก็ได้

สำหรับเด็กที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการอาเจียนบ่อย ไอตอนกลางคืนบ่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักไม่ขึ้น


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ที่พบบ่อยก็คือ หลอดอาหารอักเสบ (esophagitis) ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร

หากไม่ได้รับการรักษา ต่อมาอาจกลายเป็นแผลหลอดอาหาร (esophageal ulcer) ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ

ในที่สุดอาจเกิดภาวะหลอดอาหารตีบ (esophageal stricture) ผู้ป่วยจะมีอาการกลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือถ่างหลอดอาหารเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นมากอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

ผู้ป่วยบางรายอาจมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหารจนกลายเป็น หลอดอาหารบาร์เรตต์ (Barrett’s esophagus) ซึ่งสามารถวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องลงไปที่หลอดอาหารและนำชิ้นเนื้อไปพิสูจน์  ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหาร ประมาณร้อยละ 2-5 ซึ่งจะมีอาการเจ็บเวลากลืนอาหาร กลืนลำบาก อาเจียนบ่อย น้ำหนักลด

ในรายที่มีกรดไหลย้อนถึงช่องปาก คอหอย จมูก หู และหลอดลม ก็อาจทำให้ฟันสึกกร่อน (จากการกัดของน้ำย่อยเป็นเวลานาน อาจทำให้มีอาการเสียวฟัน ฟันผุ) เป็นหวัด (คัดจมูก จาม) เรื้อรัง ไซนัสอักเสบเรื้อรัง คออักเสบ (เจ็บคอเรื้อรัง) หลอดลมอักเสบ (ไอเรื้อรัง) กล่องเสียงอักเสบ (เสียงแหบเรื้อรัง ตรวจพบสายเสียงบวมแดง) หูอักเสบ (มีเสียงดังในหู หูอื้อ หรือปวดหู เรื้อรัง) ปอดอักเสบบ่อย โรคหืดกำเริบบ่อย เนื่องจากน้ำย่อยไหลเข้าไประคายเคืองต่อหลอดลม และบางรายอาจกลายเป็นมะเร็งกล่องเสียง

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ ปอดอักเสบจากการสำลักน้ำย่อยเข้าไปในปอด (aspiration pneumonia) ซึ่งพบบ่อยในทารกอายุ 1-4 เดือน*

*ทารกอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารยังเจริญไม่เต็มที่ มักมีอาการร้องกวน งอแง อาเจียนบ่อย ไอบ่อยตอนกลางคืน เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวไม่ขึ้น บางรายอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งอาจกำเริบได้บ่อย อาการมักจะหายเมื่ออายุ 6-12 เดือน แต่บางรายอาจรอจนถึงเข้าสู่วัยรุ่น จึงจะดีขึ้น ในเด็กโตมักมีอาการคล้ายที่พบในผู้ใหญ่


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ

ส่วนการตรวจร่างกายทั่วไปมักจะตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน (esophago-gastro-duodenoscopy) เพื่อแยกออกจากสาเหตุอื่น (เช่น แผลเพ็ปติก มะเร็งกระเพาะอาหาร) บางรายแพทย์อาจทำการตรวจวัดค่าความเป็นกรด ด่าง (pH) ในหลอดอาหารและคอหอยส่วนล่าง (ambulatory 24-hour double–probe pH monitoring)

สำหรับโรคกรดไหลย้อน การส่องกล้องอาจตรวจพบร่องรอยการอักเสบของหลอดอาหาร แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารบาร์เรตต์ ถ้าเป็นในระยะแรกเริ่มก็อาจตรวจไม่พบรอยโรคที่หลอดอาหารก็ได้

ส่วนผู้ที่ไปพบแพทย์ ด้วยอาการเสียงแหบ เจ็บคอ ไอ เป็นหวัด ไซนัสอักเสบ หรือปวดหู หูอื้อ แพทย์อาจวินิจฉัยโรคนี้จากการใช้เครื่องมือส่องตรวจอวัยวะเหล่านี้


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าเริ่มมีอาการในระยะแรก แพทย์จะให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น) นาน 2 สัปดาห์ ถ้าดีขึ้นให้กินต่อจนครบ 3 เดือน

2. ถ้ากินยาดังกล่าวนาน 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง มีอาการเสียงแหบ เจ็บคอหรือไอเรื้อรัง หรือมีอาการผิด ปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น เจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร กลืนลำบาก หายใจลำบาก อาเจียน ซีด ตาเหลือง น้ำหนักลด คลำได้ก้อนในท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เจ็บหน้าอกรุนแรง เป็นต้น) หรือพบในทารกที่มีอาการอาเจียนบ่อย ไอบ่อย หรือน้ำหนักตัวไม่ขึ้น ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติม (เช่น การส่องกล้อง) เพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด

ถ้าพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย และให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊มป์ นาน 3-6 เดือน

โรคนี้มักจะมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายังมีพฤติกรรมทำให้โรคกำเริบ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ ถ้าอาการกำเริบ ก็ควรให้ยากินเป็นครั้งคราวไปเรื่อย ๆ

ในรายที่กินยาไม่ได้ผล หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารอักเสบรุนแรง หลอดอาหารตีบ กล่องเสียงอักเสบเรื้อรัง โรคหืดกำเริบบ่อย หรือมีไส้เลื่อนกะบังลมขนาดใหญ่ ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดซ่อมแซม (ผูก) หูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารด้วยวิธีส่องกล้องเข้าช่องท้อง (laparoscopic fundoplication)

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยวิธี "Radiofrequency therapy" โดยการใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุทำลายเนื้อเยื่อตรงส่วนปลายของหลอดอาหาร ทำให้เกิดแผลเป็นดึงรั้งให้หูรูดหดแน่น ช่วยให้อาการทุเลาได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่หรือยอดอกก่อนหรือหลังกินอาหาร มีอาการปวดแสบหรือจุกแน่นยอดอกขึ้นไปถึงคอหอย หรือมีอาการเรอเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวขึ้นไปที่คอหอย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาและกินยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

2. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้

    ลดน้ำหนักตัว (ถ้าน้ำหนักเกิน)
    สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการกำเริบ แล้วพยายามหลีกเลี่ยง เช่น อาหารมัน (รวมทั้งข้าวผัดของผัดที่อมน้ำมัน) อาหารเผ็ดจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ ช็อกโกแลต หัวหอม กระเทียม สะระแหน่ ยาบางชนิด (เช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาต้านแคลเซียม ยาทางจิตประสาท)
    หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมากและการดื่มน้ำมาก ๆ ระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารมื้อเย็นปริมาณน้อย และทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
    หลังกินอาหารควรปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงให้หลวม ไม่ควรนอนราบ หรือนั่งงอโค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งตัวตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกาย
    หมั่นออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียด เนื่องเพราะความเครียด มีส่วนทำให้หลั่งกรดมากขึ้น อาจทำให้อาการกำเริบได้
    ถ้ามีอาการกำเริบตอนเข้านอน ควรหนุนศีรษะสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านศีรษะให้สูงหรือใช้อุปกรณ์พิเศษสอดใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากศีรษะลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงนอนที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่แนะนำให้ใช้วิธีหนุนหมอนให้สูง (อาจทำให้ท้องโค้งงอความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น)

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เจ็บหน้าอกเวลากลืนอาหาร กลืนลำบาก หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกรุนแรง ปวดท้องมาก อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ซีด ตาเหลือง คลำได้ก้อนในท้อง กินยารักษา 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือ มีอาการผิดสังเกตที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินหรือท้องผูก เป็นต้น)

การป้องกัน

1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน

2. หมั่นออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียด

3. หลีกเลี่ยงการกินอาหารปริมาณมาก หรือ อิ่มจัด ควรกินอาหารมื้อเย็นปริมาณน้อย และทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

4. หลังกินอาหาร ห้ามนอนราบ นั่งงอตัว หรือโค้งตัวลงต่ำ

5. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารมัน ของทอด ของเปรี้ยวจัด ของเผ็ดจัด สุรา ยาสูบ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม หัวหอม กระเทียม สะระแหน่

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรติดตามการรักษากับแพทย์เป็นประจำ ที่สำคัญผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะช่วยให้อาการกำเริบน้อยลงและลดการใช้ยาลงได้

2. แม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังน่ารำคาญ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถ้ารู้จักปฏิบัติตัวและคอยใช้ยาควบคุมอาการ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยบางรายก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น หลอดอาหารตีบ มะเร็งหลอดอาหาร

3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") หรือกรดไหลย้อน และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

9
จัดฟันบางนา: ฟันคุดคืออะไร

สุขภาพช่องปากและฟันถือเป็นเรื่องสำคัญของคนเรา จะต้องดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอและควรเอาใจใส่ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปาก เพราะถ้าหากเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับสุขภาพช่องปากและฟันแล้วจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการบดเคี้ยวอาหาร การพูดคุยหรือแม้กระทั่งการพบปะผู้คน ซึ่งอาจจะทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ขาดความมั่นใจ และยังส่งผลต่อปัญหาสุขภาพโดยรวมด้วย ปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ส่วนใหญ่ที่มักพบได้บ่อยคือ ฟันผุ ซึ่งฟันผุเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาดฟันที่ไม่ดี การรับประทานอาหารที่มีรสหวานมากจนเกินไป ซึ่งสาเหตุเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดฟันผุได้ นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องของฟันคุดก็มักพบได้บ่อยเช่นเดียวกัน ซึ่งฟันคุดเป็นฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาได้ตามปกติ เนื่องจากอาจจะมีสิ่งที่ขัดขวางการขึ้นของฟันซี่นั้น เช่นความหนากระดูกฟันบางซี่หรือทิศทางการขึ้นของฟันที่ผิดปกติ ฟันคุดโดยส่วนใหญ่เกิดจาก ขนาดของขากรรไกรไม่สัมพันธ์กับขนาดของฟัน


ซึ่งสาเหตุของฟันคุดส่วนใหญ่มาจากขนาดของขากรรไกร ถ้าขนาดของขากรรไกรเล็กแต่ขนาดฟันโต จึงทำให้ฟันไม่สามารถขึ้นมาในช่องปากได้ ทำให้เกิดเป็นฟันคุดจะส่งผลทำให้เรามีอาการเจ็บปวด แต่ก็รักษาได้ด้วยการผ่าฟันคุด ซึ่งหลายคนเคยผ่านการผ่าฟันคุดมาแล้ว โดยการผ่าฟันคุดนั้น เป็นการผ่าตัดทางทันตกรรมเพื่อนำฟันที่ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติออก โดยฟันซี่นั้นจะฝังตัวอยู่ใต้เนื้อเยื่อของและบริเวณกระดูกขากรรไกร ซึ่งจะผ่านการผ่าตัดจะเกิดขึ้นเมื่อฟันที่ฝังตัวอยู่นั้นส่งผลกระทบต่อฟันซี่ฟันบริเวณข้างเคียง ทำให้มีอาการปวดและเกิดการอักเสบติดเชื้อขึ้นได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะพบได้บ่อย ดังนั้น ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงฟันคุดว่าคืออะไร ซึ่งหลายคนยังไม่ทราบและจะพูดถึงการก่อให้เกิดปัญหาอันเนื่องมาจากฟันคุด เพื่อให้เราได้ทราบว่าควรรับมือกับการที่มีฟันคุดอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่อาจจะตามมาในอนาคต

ฟันคุดคือฟันแท้ที่ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติและมักฝังตัวอยู่ที่ขากรรไกรบริเวณใต้เหงือก ด้วยฟันคุดจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากตัวฟันไม่ได้โผล่ขึ้นมาเหนือเหงือก ซึ่งทันตแพทย์จะต้องใช้การเอ็กซเรย์จึงจะสามารถมองเห็นได้  โดยปกติแล้วฟันคุดที่เกิดขึ้นอาจจะโผล่ขึ้นมาเหนือเหงือก เมื่อโตขึ้นได้และส่งผลให้เกิดแรงดันทำให้เรามีอาการปวดบริเวณฟันคุด จนอาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำออกมา โดยการผ่าตัดฟันคุดเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง เพื่อนำฟันออกมา ปกติแล้วหากฟันที่ฝังตัวอยู่นั้น ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงจนเกินไป ทันตแพทย์อาจจะรักษาด้วยการตกแต่งเนื้อเยื่อโดยรอบ โดยไม่ต้องเข้ารับการถอนฟันและอาจจะแนะนำในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา เช่น ถ้าหากมีอาการอักเสบบริเวณเหงือกที่ทำให้เกิดอาการเจ็บขณะจัดฟันทันตแพทย์อาจจะทำการรักษาเนื้อเยื่อบริเวณที่อักเสบหรือแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการแปรงฟันและอาจจะให้ผู้เข้ารับการรักษาใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟันด้านหน้าและด้านหลังของฟันคุด เพราะจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพที่ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงการเกิดโรคเหงือกอักเสบบริเวณรอบรอบฟันคุดได้


ซึ่งหากพูดถึงการผ่าฟันคุด หลายคนรู้สึกกลัวแต่การผ่าตัดฟันคุดนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ยอมผ่าออกก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากและฟันได้ ในหลายๆด้าน เพราะฉะนั้น การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆก็จะเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวท่านเอง เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆและเกิดการอักเสบติดเชื้อ ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อบริเวณฟันซี่อื่นๆได้ เพราะถ้าหากฟันคุดทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันอย่างชัดเจน ทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้ผ่าออกซึ่งสาเหตุที่อาจจะทำให้แพทย์พิจารณาให้ผู้เข้ารับการรักษาผ่าฟันคุดก็ต่อเมื่อฟันคุดและสร้างความเสียหายให้แก่ฟันซี่อื่น เพราะฟันคุดที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อฟันโดยรอบได้ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดภายในช่องปากได้

นอกจากนี้ ความเสียหายที่ขากรรไกรก็อาจจะทำให้ได้รับความอันตรายเพราะฟันคุดอาจก่อให้เกิดถุงน้ำรอบๆและอาจทำให้บริเวณขากรรไกรนั้นถูกทำลายจนเป็นหลวมส่งผลให้ทำลายเส้นประสาทที่บริเวณขากรรไกรได้ นอกจากนี้ในเรื่องของโรคเหงือกอักเสบก็มีสาเหตุมาจากฟันคุดได้เช่นเดียวกัน เมื่อเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆฟันคุด เกิดการอักเสบก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการบวมและยากต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ส่งผลให้ผู้เข้ารับการรักษาเกิดการฟันผุ ซึ่งอาการเหงือกบวมจากฟันคุดจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันและทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปเจริญเติบโตภายในช่องปากและก่อให้เกิดโรคฟันผุตามมา สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน ฟันคุดก็สามารถส่งผลกระทบต่อการจัดฟันได้จนทำให้ผลการรักษาหรือผลการจัดฟัน ครอบฟันหรือการใช้ฟันปลอมไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เพราะฉะนั้น การพิจารณาของทันตแพทย์ว่าจะทำการผ่าตัดหรือไม่ จะต้องพิจารณาจากหลายๆปัจจัยจะต้องตรวจดูรูปร่างของช่องปากและตำแหน่งของฟันคุด


รวมทั้งต้องคำนึงถึงอายุของผู้เข้ารับการรักษาด้วย ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหมั่นเอาใจใส่ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคเกี่ยวกับช่องปากหรือปัญหาเกี่ยวกับฟันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเราทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภายในช่องปากได้ และที่สำคัญเราควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อเข้ารับการทำความสะอาดช่องปากและฟัน รวมไปถึงจะได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพช่องปากและฟันของเราเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและทันเวลา หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้จากทางทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันจึงทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

10
จัดฟันบางนา: ข้อเสียของสะพานฟัน

ปัญหาฟันผุ เป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะเคยพบเจอ ซึ่งเกิดจากการรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี โดยฟันผุนั้น คือการที่ผิวฟันเกิดเป็นจุดหรือรูโหว่ ซึ่งอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น คราบแบคทีเรียภายในช่องปาก หรือการที่ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม รับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ แล้วไม่รักษาความสะอาดของช่องปากแลฟันให้ดี และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ได้รับการรักษา อาการจะลามลึกลงไปถึงรากฟัน สร้างความเจ็บปวด เสี่ยงต่อการติดเชื้อและการเสียฟันซี่นั้นตลอดไป เรื่องของฟันผุ จึงเป็นปัญหาที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงที่เราไม่ควรจะมองข้าม ถ้าหากเราสูญเสียฟันธรรมชาติไป ก็จะสามารถแก้ไขได้ยาก


แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีการรักษา เพราะการสูญเสียฟัน สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งหรือที่เรียกว่า การทำสะพานฟัน ซึ่งสะพานฟันนั้น เป็นการทำฟันปลอมชนิดติดแน่นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสะพานฟันจะอาศัยฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงเป็นหลักในการยึดติด ไม่สามารถถอดเข้าออกด้วยตัวเองได้ ต้องทำโดยทันตแพทย์เท่านั้น  การทำสะพานฟันจะทำในกรณีที่ฟันถูกถอนไป แต่ยังเหลือฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียงที่แข็งแรงสามารถเป็นหลักยึดสะพานฟันได้ โดยจะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษา กลับมามีรอยยิ้มที่สวยงาม รู้สึกมั่นใจ ทั้งยังสามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สูญเสียฟันไป ให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม

แต่การทำสะพานฟัน ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องศึกษารายละเอียด วิธีการดูแลรักษาความสะอาด รวมไปถึงขั้นตอนการรักษาให้ละเอียดเสียก่อน รวมไปถึงศึกษาข้อดีและข้อเสียว่า การทำสะพานฟันนั้น จะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร ภายหลังจากที่เข้ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน ครั้งที่แล้วทางคลินิกเราได้พูดถึงข้อดีของการทำสะพานเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่มีความต้องการจะทำสะพานฟัน และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดข้อเสียกันบ้างว่า การทำสะพานฟันมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อจำกัดต่างๆด้วย

สำหรับข้อเสียในการทำสะพานฟันนั้น ก็คือ อย่างแรกเลยคือจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง เนื่องจากการแก้ไขปัญหาการทดแทนฟันธรรมชาติ ด้วยการทำสะพานฟันเป็นการทำฟันปลอมชนิดติดแน่น จึงมีราคาแพงกว่าฟันปลอมทั่วไปที่สามารถถอดออกได้ และการติดสะพานฟันอาจส่งผลกระทบต่อฟันซี่ที่อยู่ข้างๆ ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนการรักษาจะต้องปรึกษาทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก่อนที่จะทำการรักษา จะต้องมั่นใจว่ามีฟันบริเวณข้างเคียงที่แข็งแรง สามารถยึดติดสะพานฟันได้ ที่สำคัญมากที่สุดคือ ผู้เข้ารับการรักษาอาจต้องเอาใจใส่ในการทำความสะอาดช่องปากและฟันมากขึ้น เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดโรคฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับข้อจำกัดในเรื่องของการเข้ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน ก็จะสามารถทำได้ในผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพช่องปาก หากมีปัญหาเช่น โรคเหงือก จะไม่สามารถทำสะพานฟันได้ จนกว่าจะได้รับการรักษาโรคเหงือกให้หายเป็นปกติเสียก่อน นอกจากนี้ การทำสะพานฟัน มีความจำเป็นที่จะต้องกรอเนื้อฟันซี่ข้างเคียงออก เพื่อทำเป็นหลักยึดติดให้แก้สะพานฟัน  ทำให้สูญเสียเนื้อฟันซี่ที่ดีออกไป และสะพานฟันจะทำความสะอาดยากกว่าฟันธรรมชาติ เนื่องจากส่วนที่เป็น ลอยอยู่บนเหงือก จึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการทำความสะอาด เช่น การใช้ไหมขัดฟัน จะเพิ่มขึ้นตอนในการทำความสะอาดฟันมากกว่าปกติ และถ้าหากผู้เข้ารับการรักษาดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้ กรณีผู้ที่สูญเสียฟันไป แต่ไม่อยากเข่ารับการรักษาด้วยการทำสะพานฟัน สามารถเลือกวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมทดแทนได้

ซึ่งทางคลินิกของเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของรากฟันเทียม หากสนใจสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ ทั้งนี้ทางคลินิกเรายังมีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาฟัน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39,900 บาท จากราคาปกติ 50,000 บาท เพื่อที่จะให้ผู้ที่มีปัญหาฟันได้กลับมามีฟันที่สวยง่ามเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

11
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส INVISALIGN MODERATE แก้ไขปัญหาฟันได้ทุกกรณี !

การจัดฟันแบบใส Invisalign

เป็นการจัดหันที่นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาช่วยในเรื่องของการวางแผนการจัดฟันเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษา ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้ทำการจัดฟันแล้ว ซึ่งจะแสดงผลเป็นรูปแบบของ 3D เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ แต่การจัดฟันแบบใส Invisalign มีหลายประเภท โดยจะขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละบุคคล และดุลยพินิจของทันตแพทย์ที่จะทำการรักษา โดยจะทำการประเมินช่องปาก สภาพของฟัน ว่าควรเข้ารับการจัดฟันแบบใส Invisalign แบบใด ซึ่งวันนี้เราจะพามารู้จักกับการจัดฟันแบบใส Invisalign Moderate ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการจัดฟันแบบใส

การจัดฟันแบบใส Invisalign Moderate เป็นการจัดฟันใสสำหรับผู้ที่มีฟันซ้อนเกค่อนข้างมาก หรือมีความซับซ้อนมาก อาจเคยเป็นฟันที่ไม่เคยผ่านการจัดฟันมาก่อน หรือไม่ก็ตาม การจัดฟันใสแบบ Invisalign Moderate ใช้เครื่องมือการจัดฟันแบบใส

ตั้งแต่ 24 คู่ ขึ้นไป และใช้เวลาโดยประมาณในการจัดฟัน 1-2 ปี แล้วแต่สภาพฟันของแต่ละบุคคล และดุลยพินิจของทันตแพทย์ โดยการจัดหันแบบใส ในรูปแบบนี้สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกกรณีและผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถได้เห็นแผนการรักษาของทันตแพทย์ว่าจะทำการรักษาในรูปแบบใด และผลการรักษาจะไปในทิศทางใดนั่นเอง

การจัดฟันแบบใส Invisalign ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีสุขภาพฟันที่ดี เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถถอดออกได้

จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องมือจัดฟัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไหมขัดฟันในการทำความสะอาดได้ด้วย หากสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถเข้ามาขอคำปรึกษาจากทันตแพทย์ของทางคลีนิคได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย



12
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


13
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


14
ซ่อมบำรุงอาคาร: โหมดทำงานของแอร์ เลือกใช้งานให้ถูก ประหยัดไฟได้เยอะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีความจำเป็นอย่างมากในอากาศที่ร้อนอบอ้าว เชื่อว่า มีแทบทุกบ้าน เพราะมีความจำเป็นสำหรับใครหลายๆคน เนื่องจากอากาศในบ้านเราต้องบอกว่า มีอากาศที่ร้อนแทบจะตลอดทั้งปี ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้ในการคลายร้อน ทำให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่เราก็ต้องแลกกับค่าไฟที่ต้องเพิ่มมากขึ้น แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีหลายบ้านที่มักจะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้พักแอร์เลย ก็ทำให้แอร์ต้องทำงานหนัก และสกปรกได้ง่าย เพราะยิ่งเราเปิดแอร์ ก็ยิ่งทำให้แอร์มีการสะสมของฝุ่นเป็นจำนวนมากนั่นเอง


ซึ่งการใช้งานแอร์ที่หนักเกินไปนั้น ทำให้เราต้องทำความสะอาดแอร์บ่อยๆ แต่ยิ่งเราเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน ค่าไฟก็จะยิ่งพุ่งสูงเป็นธรรมดา เพราะแอร์ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างเปลืองไฟ แต่ก็มีเทคนิคที่จะช่วยให้เราประหยัดค่าไฟฟ้าไปได้เยอะ เพียงแค่เราใช้งานแอร์อย่างถูกต้อง คือ ใช้โหมดการทำงานของแอร์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้เราประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำโหมดการทำงานของแอร์ ที่ถ้าหากเราเลือกใช้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้านของเราได้เยอะ

 
ก่อนที่เราจะเลือกใช้โหมดแอร์นั้น เราต้องมาทำความรูจักกับโหมดแอร์ทั้ง 4 โหมดก่อนว่าคืออะไรบ้าง โหมดแรกคือ Cool Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยให้แอร์ทำความเย็น ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ในแต่ละห้อง เมื่อแอร์ถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้ แอร์จะตัดการทำงานทันที จึงเหมาะสำหรับใช้งานในช่วงหน้าร้อนที่ต้องการความเย็นตามที่ต้องการ  ต่อมาคือ Auto Mode คือ โหมดการทำงานที่หลายๆ บ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และเป็นโหมดการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งการทำงานของระบบนี้คือ การวัดค่าอุณหภูมิของแอร์ เพื่อปรับความเย็นด้วยระบบเซ็นเซอร์จากตัวแอร์


หลังจากเปิดแอร์หากอากาศภายในห้องร้อน แอร์จะปรับอัตโนมัติไปที่ โหมดการทำงานแบบ Cool Mode และหลังจากอุณหภูมิเย็นลงตามที่กำหนดไว้ จะถูกปรับเปลี่ยนไปยังโหมดการทำงานประเภท Dry Mode เพื่อป้องกันความชื้นภายในห้อง ซึ่งเหมาะสำหรับบ้านที่ชอบความสะดวกสบาย และห้องที่มีการใช้งานบ่อย ๆ และโหมดต่อมา คือ Dry Mode โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้นในอากาศ จึงเหมาะกับห้องที่มีความชื้นในปริมาณที่มาก ซึ่งลมเย็นที่ออกมาอาจจะไม่เย็นฉ่ำเท่ากับ Cool Mode และบางช่วงอาจจะรู้สึกอึดอัด เพราะ แอร์ไม่สามารถกระจายความเย็นให้ทั่วถึงทั้งห้องได้

 
และสุดท้ายคือ Fan Mode คือ โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยระบายความชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ของแอร์ให้หมดไป ซึ่งหากใครเผลอไปกดเปลี่ยนเป็นโหมดการทำงานนี้ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อนออกมาได้ เพราะ ลมที่ออกมาจะเป็นลมในอุณหภูมิห้อง ไม่มีความเย็นใด ๆ ซึ่งโหมดที่หลายคนเลือกใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโหมด Cool และ โหมด Auto เพราะใช้งานง่ายโดยที่เราไม่ต้องปรับอะไรเลย ส่วนอีก 2 โหมด โหมดการทำงานของแอร์ที่จะช่วยควบคุมความชื้น อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากให้ห้องมีอากาศเย็นมากขึ้น ไม่ควรปรับเครื่องปรับอากาศไปที่อุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ควรปรับไว้ที่อุณหภูมิปกติ แต่เร่งความแรงของพัดลมจากเครื่องปรับอากาศให้แรงมากขึ้นแทน นอกจากนี้ ถ้าต้องการให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ควรเปิดพัดลมไปพร้อมกับการเปิดแอร์ด้วย โดยทำการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 25-27 องศา และเปิดพัดลมช่วย นอกจากทำให้ห้องเย็นเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้นอีกด้วย


อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย เพราะฉะนั้น ให้ทางเราได้ดูแลในเรื่องของระบบปรับอากาศของคุณให้มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

15
ประเภทของผ้ากันไฟ ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม

ผ้ากันไฟที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว ผ้ากันไฟที่นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีดังนี้:

1. ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Cloth)
เป็นวัสดุที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีราคาไม่แพงและทนความร้อนได้ปานกลาง (ประมาณ 550-600 องศาเซลเซียส)
เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น ป้องกันสะเก็ดไฟจากการเชื่อมโลหะ หรือใช้คลุมอุปกรณ์ไฟฟ้า
ข้อควรระวัง: อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ


2. ผ้าซิลิกา (Silica Cloth)
เป็นวัสดุที่มีความทนทานต่อความร้อนสูง (ประมาณ 900-1200 องศาเซลเซียส) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการป้องกันความร้อนสูง เช่น ใช้คลุมเตาหลอม หรือใช้ในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้สูง
ทนความร้อนได้สูงกว่าผ้าใยแก้ว และมีความทนทานมากกว่า
ราคาแพงกว่าผ้าใยแก้ว


3. ผ้าเคฟลาร์ (Kevlar Cloth)
เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานสูง และทนต่อการฉีกขาดได้ดี เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น ใช้ทำชุดป้องกันไฟสำหรับพนักงานที่ทำงานในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง หรือใช้ในอุตสาหกรรมอากาศยาน
มีความแข็งแรงทนทานสูง ทนต่อการฉีกขาด ทนความร้อนได้ดี
ราคาแพง


4. ผ้าโนแม็กซ์ (Nomex Cloth)
เป็นวัสดุที่ทำจากเส้นใยอะรามิด ทนทานต่อความร้อนและเปลวไฟสูง เหมาะสำหรับใช้ทำชุดป้องกันไฟสำหรับนักดับเพลิงและพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
ทนทานต่อความร้อนและเปลวไฟสูง
ใช้ในชุดป้องกันไฟสำหรับนักดับเพลิงและงานอุตสาหกรรม

ปัจจัยในการเลือกผ้ากันไฟ

ในการเลือกผ้ากันไฟสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

อุณหภูมิ: เลือกผ้ากันไฟที่ทนทานต่ออุณหภูมิที่เหมาะสมกับการใช้งาน
ความแข็งแรง: เลือกผ้ากันไฟที่มีความแข็งแรงทนทานต่อการฉีกขาดและการเสียดสี
คุณสมบัติเพิ่มเติม: พิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การกันน้ำ การกันสารเคมี หรือการรับรองมาตรฐาน
งบประมาณ: กำหนดงบประมาณในการซื้อผ้ากันไฟ และเลือกผ้ากันไฟที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม


คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรเลือกซื้อผ้ากันไฟจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้
ควรตรวจสอบฉลากสินค้า เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุ คุณสมบัติ และมาตรฐานของผ้ากันไฟ
ควรมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้งานผ้ากันไฟอย่างถูกต้อง

หน้า: [1] 2 3 ... 95