แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 101
1
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/

https://www.noisecontrol365.com/album/banner/851ef947851a952f6558581a8db3a103.jpg

2
รถกระบะรับจ้าง รถรับจ้างมีนบุรี ให้ความรู้สู่โลกอนาคตอันใกล้เคียง

รถรับจ้างมีนบุรี ให้ความรู้สู่โลกอนาคต อนาคตในภายภาคหน้าที่ไม่ไกล เกินเอื้อมให้บริการรถรับจ้างขนของที่รับจ้างขนย้ายสินค้าทุกชนิด แบบไร้คนขับด้วยเทคโนโลยีแห่งใหม่ในอนาคตที่ รถรับจ้างย้ายของพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนแล้วจะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของทุกๆคนในช่วงทศวรรษที่กำลังจะมาถึงทั้งนี้การขนย้ายสิ่งของทุกชนิดทางเรามิอาจจะสามารถปฏิเสธได้และจำเป็นที่จะต้องมีการขนย้ายอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะต้อง ขนย้ายบ้านมีนบุรี กรุงเทพ นนทบุรี และต่างจังหวัด หรือต้องการย้ายถิ่นฐาน ขนย้ายสำนักงานขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายอพาร์ทเม้นท์และขนย้ายสัตว์เลี้ยงต่างๆซึ่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นคนที่ควบคุมในการขับขี่สิ่งของนั้นเอง

แต่ในอนาคตที่กำลังจะมาถึงรถก็จะไร้คนขับซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่จะปรากฏที่เป็นภาพและจินตนาการนั้นออกมาทั้งหลายๆเรื่องจนเราก็คิดคาดหวังไว้ว่ารถนั้นจะไร้คนขับแน่นอนอารมณ์ก็เหมือนกับโลกที่เปลี่ยนแปลงโทรศัพท์ให้เป็นสมาร์ทโฟนใช้ง่ายใช้คล่องใช้สะดวกนั่นเองก็เปรียบเสมือนรถรับจ้างที่ไร้คนขับที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ รถรับจ้างมีนบุรับขนของขนย้ายพร้อมให้ข้อมูลอีกด้วยว่าออกแบบมาเพื่อประหยัดเวลาของคน ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดตามท้องถนนแบบบ่อยครั้งจึงทำให้คนนั้นเสียชีวิตที่มากมาย

ดังนั้นเมื่อได้ใช้บริการรถรับจ้างขนของแบบและคนขับทุกท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าพนักงานคนขับรถสามารถขับขี่ได้ดีหรือไม่ถ้าเราจะมีการเซ็ตระบบนวัตกรรมโดยใช้โปรแกรมระบบคอมพิวเตอร์เป็นการควบคุมตนเองและจะไม่เกิดอันตรายเพราะสื่อเทคโนโลยีสมัยนี้มีพัฒนาการที่ดีและเร็วกว่าสิ่งอื่นใดถ้าอย่างไรก็ตามจำพวกนวัตกรรมพวกรถไร้คนขับนี้ที่มีการพูดถึงมากขึ้นเมื่อสื่อโซเชี่ยวมีความให้สนใจเป็นอย่างมากทางด้านเทคโนโลยีและได้ตัดสินใจที่จะพัฒนารถยนต์ไร้คนขับนั่นเองค่ะ

ดังนั้นก็คงไม่แปลกว่าถ้าให้ บริการรถรับจ้างขนของ แบบไร้ขนค่ะก็จะเอื้ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าทุกๆท่านและเพื่อป้องกันการเกิดสิ่งต่างๆหรืออาจจะมีผลกระทบทางความรู้สึกของลูกค้านั่นเองค่ะแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะเป็นระบบการทำงานของนวัตกรรมในอนาคตเมื่อมีการออกแบบมาก็จะสามารถควบคุมการขับขี่แบบอัตโนมัติได้ไม่ว่าจะขนย้ายของจากใต้ไปเหนือจากเหนือมาพักกลางจะพากันไปภาคอีสานก็สามารถที่จะควบคุมได้ง่ายและมีระบบหลีกเลี่ยงกันชนด้วยระบบนี้ก็จะเป็นการช่วยจอดหรือระบบควบคุมการขับขี่ในช่องทางจราจรต่างๆและจะมีเซ็นเซอร์เหมือนรถอื่นๆทั่วไปอยู่รอบคันเพื่อป้องกันและตรวจสอบวัตถุที่อยู่ระยะใกล้นั่นเองค่ะดังนั้นเมื่อมีรถรับจ้างหรือรถไร้คนขับขึ้นมาก็จะสามารถสร้างความปลอดภัยตามท้องถนนได้เป็นอย่างดีและไม่เกิดอันตรายไม่ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยค่ะดังนั้นนับว่าเป็นผลดีต่อการที่จะมีรถรับจ้างขนของแบบไร้คนขับนั่นเองค่ะ

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการตอบสนอง ทางทีมงานขนส่ง จะทำการสืบหาข้อมูลเพื่อนำมาแชร์ให้กับทุกคนได้รับทราบโดยทั่วกัน ทีมงานรถรับจ้างขนของเขตมีนบุรี ยังให้บริการ 6ล้อรับจ้างมีนบุรี ขนส่ง ส่งของ ย้ายบ้านมีนบุรี  ขนย้ายทั่วไปในโซนกรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรีเป็นย่านเศรษฐกิจ และแหล่งขนของ เพราะผู้ประกอบการ


ทั้งในด้านพ่อค้าแม่ค้า ต่างติดต่อเข้ามาใช้บริการ รถขนของมีนบุรี กันอย่างมาก และนักศึกษาย่านนี้ก็เช่นกัน เมื่อมีการปิดเทอม หรือย้ายหอเก่า ไปอยู่หอใหม่ด็จะติดต่อรับรับจ้างมีนบุรี มาทำหน้าที่ในการขนของ ย้ายของ จำพวก ขนย้ายห้องเช่า ห้องพัก ที่มีทั้ง มอเตอร์ไซต์ กล่องเสื้อผ้า เครื่องซักผ้า ขนย้ายตู้เย็น ขนย้ายเครื่องครัว ขนย้ายที่นอน ก็จะใช้บริการทีมงานขนส่งโดยแท้จริง เราคือผู้รับจ้างเจ้าเก่า เจ้าเดิมของมีนบุรี หรือต้องการจะขนย้ายต่างพื้นที่เรามีบริการขนส่งเช่นกัน เพียงเข้ามาติดต่อ ขอรายละเอียด ขอราคาค่าบริการ พร้อมจะให้ความสะดวก ด้วยระคาสุดประหยัด และรับขนย้ายภายใน ในราคาน่ารัก พร้อมคนยก

3
รถรับจ้างราคาถูก รถรับจ้างสมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม รับจ้างขนของด่วน วิ่งทันใจ

หารถรับจ้างสมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม ย้ายของ ย้ายบ้าน รับจ้างขนของแบบด่วนๆ วิ่งทันใจ
บริการ รถรับจ้างสมุทรสาคร และเขตพื้นที่ รับขนของราชบุรี สมุทรสงคราม ด้วยงานรับจ้างขนของแบบด่วนๆ วิ่งขนย้ายตลอด 24 ชม. เริ่มต้นด้วยรถรับจ้างขนาดเล็ก เช่น รถกระบะรับจ้าง และ ตามด้วย รถ 6 ล้อรับจ้าง นอกจากนั้นก็ยังมี รถเฮียบรับจ้าง รถ10ล้อรับจ้าง รถพ่วงรับจ้าง โดยขนส่ง ที่นี่เรามีรถขนของที่พร้อมวิ่งระยะใกล้และระยะไกล ขนแบบด่วนต้องการคนยกสินค้าด้วย สามารถแจ้งให้เราทราบได้ก่อนล่วงหน้า 1-3 ชม. งานรับจ้างขนของแบบด่วนๆนี้ เราให้บริการขนย้ายของมีอะไรบ้าง

    รับจ้างขนย้ายบ้าน
    ขนย้ายห้องพัก ย้ายหอพัก
    ขนย้ายคอนโด
    ย้ายเฟอร์นิเจอร์
    ขนย้ายมอเตอร์ไซ
    ขนย้ายตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า
    ขนย้ายสัตว์เลี้ยง หมา แมว
    ขนย้ายเครื่องจักร

รถหกล้อรับจ้างการที่เราได้รับจ้างขนของในลักษณะดังกล่าว ทำให้เรามีความชำนาญในการย้ายของเป็นอย่างมาก ทั้งคนขับรถและคนยกของ ที่พร้อมบริการอย่างเต็มความสามารถ

รถรับจ้างสมุทรสาคร รถรับจ้างราชบุรี และ รถรับจ้างสมุทรสงคราม ทั้ง 3 จังหวัดนี้ เราบริการวิ่งขนย้ายมาอย่างยาวนาน เราเป็นรถรับจ้างในพื้นที่ที่บริการมานานกว่า 15 ปี วิ่งรับจ้างทุกระยะ ส่งของด่วนก็สามารถระบุให้เราได้ ซึ่งรถรับจ้างขนของของเราทุกคันต่างมีความพร้อมที่จะย้ายของให้กับคุณเพียงแค่ติดต่อมา

บริการทุกระดับประทับใจ ฉับไวไปต่อ ต่อรองได้
การที่ขนส่ง ของเรายืนหยัดในพื้นที่ให้บริการ รถรับจ้างทั้ง 3 จังหวัดนี้มาอย่างยาวนาน
เพราะว่า ในจังหวัด ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นี้ ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีเศรฐกิจที่ดีมากๆของพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง เขามีทั้งเเหล่งท่องเที่ยว มีโรงงานอุตสาหกรรม มีพืชเศรฐกิจจำนวนมาก จึงทำให้ในพื้นที่ดังกล่าวมีการใช้บริการรถรับจ้างที่มาก โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายของอย่าง ขนย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ย้ายสินค้าออนไลน์ ขนย้ายของด่วน ย้ายมอเตอร์ไซ ขนย้ายสัตว์เลี้ยง เป็นต้น หรือบางทีก็มีลูกค้าที่เหมารถส่งกระเป๋า พาเที่ยว เราก็พร้อมบริการและให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน

รถรับจ้างราชบุรี ถือว่าเป็นพื้นที่ที่เราได้ลูกค้าที่เป็นการขนย้ายสินค้า ข้าวของเครื่องใช้บ่อยมาก บางทีต้อง รถขนของจากราชบุรี ไปที่ สมุทรสาคร หรือไป สมุทรสงคราม ขนย้่ายบ้าน แล้วก็ให้เอาของจากปลายทางกลับมาส่งที่เดิม ทั้งไปและกลับ เป็นต้น ซึ่งกการขนย้ายของในลักษณะดังกล่าวถือว่ามีทุกวัน เราจึงมีความชำนาญมากเมื่อเจอลักษณะงานขนย้ายดังกล่าว

ในช่วงโควิดที่ผ่านมา รถรับจ้างสมุทรสาคร ของเราก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานอย่างไร
โดยทำการหลีกเลี่ยงเส้นทางการเดินรถดังกล่าวในพื้นที่สีแดงทันที เผื่อให้ลูกค้าทุกคนสบายใจได้ว่า รถรับจ้างขนของ ของขนส่ง ของเรามีความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นอย่างมาก เราจะมีการปฏิบัติตัวเองอย่างปลอดภัย มีผ้าปิดปาก มีเจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างดี เพื่อป้องกันการติดเช้อโควิด ด้วยมาตรการจาก รถรับจ้างที่ปลอดภัยจากโควิด

เรามีรถรับจ้างขนของกี่คัน
ด้วยงานบริการที่ครอบคลุมหลายจังหวัดขนส่ง ของที่นี่จึงมีการวางแผนเรื่อง รถรับจ้างขนของจังหวัดสมุทรสงคราม รถรับจ้างจังหวัดราชบุรี รถรับจ้างขนของสมุทรสาคร ไว้หลายคันที่พร้อมสแตนบายการขนย้ายอย่างดี โดยที่ลูกค้าไม่ต้องกังวลว่า รถรับจ้างขนย้ายของ ของเราจะมีรถขนย้ายไม่เพียงพอ และที่สำคัญเรายังมี รถรับจ้างที่เป็นทีมวิ่งร่วมขนย้ายในสมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม อีกจำนวน 500 กว่าคัน โดยที่ว่ามีทุกจุดขนย้าย ทุกเขตตำบล อำเภอ เลยก็ว่าได้ เราจึงได้บริการ รถรับจ้างขนย้ายของให้กับลูกค้าได้ตลอดเวลา พร้อมด้วยพนักงานยกสินค้าที่มีประสบการณ์เป็นอย่างดี มีรถรับจ้างประเภท

    รถกระบะรับจ้าง
    รถ6ล้อรับจ้าง
    รถเฮียบรับจ้าง
    รถ 10 ล้อรับจ้าง
    รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้าง
    รถรับจ้างย้ายบ้าน

จำนวนรถขนย้ายมากว่า 500 คัน วิ่งได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด

ที่นี่มีรถรับจ้างราคาถูก มีรถรับจ้างสมุทรสาคร รถ6ล้อรับจ้างสมุทรสาคร รถรับจ้างราคาถูกราชบุรี และ รถรับจ้างราคาถูกสมุทรสงคราม ด้วยงานขนย้ายของที่มีมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้เราสามารถบริหารต้นทุนราคาค่าขนย้ายให้ลูกค้าได้เป็ยอย่างดีนั่นเอง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

    ทำไมรถรับจ้างขนของในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มีมากและราคาไม่แพง
    วิธีคำนวณราคา รถรับจ้าง ด้วยตัวเอง


4
การสังเกตท่อลมร้อนรั่วซึม

การสังเกตท่อลมร้อนรั่วซึมเป็นสิ่งสำคัญในการบำรุงรักษาระบบระบายอากาศ เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานและรักษาประสิทธิภาพของระบบ โดยมีวิธีการสังเกตดังนี้

1. การตรวจสอบด้วยสายตา
รอยแตกหรือรอยร้าว: ตรวจสอบท่อลมอย่างละเอียดเพื่อหารอยแตกหรือรอยร้าว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าท่อลมอาจมีการรั่วซึม
รอยต่อที่ไม่สนิท: ตรวจสอบรอยต่อระหว่างท่อลมและข้อต่อต่างๆ ว่ามีการเชื่อมต่อกันอย่างสนิทหรือไม่ หากพบช่องว่างหรือรอยแยก แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม
รอยคราบหรือรอยเปื้อน: ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ท่อลมเพื่อหารอยคราบหรือรอยเปื้อน ซึ่งอาจเกิดจากการรั่วซึมของอากาศที่มีความชื้นหรือสารเคมี

2. การตรวจสอบด้วยมือ
สัมผัสลมรั่ว: ใช้มือสัมผัสบริเวณรอยต่อหรือรอยแตกของท่อลม เพื่อตรวจจับลมที่รั่วออกมา หากรู้สึกถึงลมที่พัดออกมา แสดงว่ามีการรั่วซึม
ตรวจสอบความร้อน: ใช้มือสัมผัสบริเวณท่อลมเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ หากพบว่าบางบริเวณมีอุณหภูมิแตกต่างจากบริเวณอื่นอย่างชัดเจน แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม

3. การตรวจสอบด้วยอุปกรณ์
เครื่องวัดความดัน: ใช้เครื่องวัดความดันเพื่อตรวจสอบความดันภายในท่อลม หากความดันลดลงอย่างผิดปกติ แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม
เครื่องวัดการไหลของอากาศ: ใช้เครื่องวัดการไหลของอากาศเพื่อตรวจสอบปริมาณลมที่ไหลผ่านท่อลม หากปริมาณลมลดลงอย่างผิดปกติ แสดงว่าอาจมีการรั่วซึม
เครื่องตรวจจับรอยรั่ว: ใช้เครื่องตรวจจับรอยรั่ว (Leak Detector) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับการรั่วไหลของอากาศหรือก๊าซได้อย่างแม่นยำ

4. การตรวจสอบด้วยวิธีการอื่นๆ
การใช้ควัน: ปล่อยควันเข้าไปในท่อลม และสังเกตการเคลื่อนที่ของควัน หากควันไหลออกมาจากบริเวณที่ไม่ควร แสดงว่ามีการรั่วซึม
การใช้สบู่: ทาฟองสบู่บริเวณรอยต่อหรือรอยแตกของท่อลม หากมีฟองอากาศเกิดขึ้น แสดงว่ามีการรั่วซึม

ข้อควรระวัง

ควรตรวจสอบท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการรั่วซึม
หากพบรอยรั่ว ควรซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานและรักษาประสิทธิภาพของระบบ
ในการตรวจสอบท่อลมร้อน ควรระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

การตรวจสอบการรั่วซึมของท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการบำรุงรักษาระบบระบายอากาศ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

5
4 ความลับที่ทำให้ฉนวนกันความร้อนโรงงานณภาพดีแตกต่างไม่มีใครเหมือน

ฉนวนกันความร้อนโรงงาน เป็นหนึ่งในวัสดุที่ผู้ประกอบการทุกคนตระหนักดีว่าจะปล่อยให้โรงงานไม่มีไม่ได้ เพราะส่งผลกระทบทำให้โรงงานเกิดปัญหาความร้อนสะสมสูงขึ้น จนทำให้ต้นทุนการผลิต ค่าไฟ ค่าเสื่อม ค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าในโรงงานเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กำไรหดหาย

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะตระหนักดีกว่าฉนวนกันความร้อนสำคัญ แต่หลายคนก็ยังกังวลว่าแล้วจะให้เลือกใช้ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ไหนดีถึงจะมีคุณภาพ ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่ผู้ประกอบการทั่วประเทศให้ความไว้วางใจก็คือ ฉนวนกันความร้อนโรงงาน ด้วยเพราะเป็นฉนวนกันความร้อนที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากฉนวนกันความร้อนโรงงานทั่วไป ดังต่อไปนี้

1.เป็นฉนวนใยแก้วที่กันความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจสำคัญอันดับ 1 ของการเป็นฉนวนกันความร้อนโรงงาน คือต้องสามารถกันความร้อนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นฉนวนกันความร้อนที่ใช้กับบริเวณใดในโรงงานก็ตาม เช่น ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาโรงงาน ก็ต้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านมาได้ดี ฉนวนกันความร้อนเครื่องจักรอุณหภูมิสูง ก็ต้องกันความร้อนจากเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ความสามารถของฉนวนกันความร้อนนั้นจะแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต

ซึ่งฉนวนกันความร้อนโรงงาน นั้นมีความพิเศษไม่เหมือนใครตรงที่ ผลิตจากใยแก้วที่มีโพรงอากาศอยู่ด้านในจำนวนมาก จึงทำให้อากาศร้อนที่ผ่านเข้ามากระทบไม่สามารถเคลื่อนตัวทะลุผ่านไปได้ง่าย ๆ จึงช่วยชะลอความร้อนไม่ให้ทะลุเข้ามาสะสมในโรงงานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน ยังมีความหนาที่มากกว่าฉนวนกันความร้อนทั่วไป ซึ่งความหนาของฉนวนนั้นส่งผลโดยตรงต่อค่าต้านทานความร้อน ยิ่งหนามากก็ยิ่งกันความร้อนได้ดี นั่นเองด้วย 2 เหตุผลนี้ จึงทำให้ฉนวนกันความร้อนโรงงาน กันความร้อนได้ดีเป็นพิเศษมากกว่าฉนวนกันความร้อนทั่วไปนั่นเอง

2.เป็นฉนวนกันความร้อนสุด Healthy ไม่ทำร้ายสุขภาพ

การที่โรงงานติดตั้งฉนวนกันความร้อนไปในจุดต่าง ๆ นั้น จะทำให้ทุกคนในโรงงานต้องอยู่กับฉนวนกันความร้อนไปเป็นสิบ ๆ ปี จึงทำให้หากฉนวนกันความร้อนมีส่วนผสมของสารเคมีที่ทำให้เป็นอันตรายได้ ก็จะถือว่าไม่ตอบโจทย์กับการใช้งาน และยังถือเป็นผลเสียร้ายแรงต่อโรงงานด้วย หากทำให้พนักงานเจ็บป่วยและเป็นอันตราย

ทั้งนี้ ฉนวนกันความร้อนโรงงาน สามารถคลายความกังวลในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นฉนวนใยแก้วที่ผ่านกระบวนการทดสอบแล้วว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ และขนาดของใยแก้วนั้นไม่ได้เล็กจนสามารถทำให้คนเราสูดหายใจเข้าไปในปอดได้ ซึ่งได้รับการรับรองถึงคุณสมบัติความปลอดภัยนี้จากหน่วยงาน IARC ในการดูแลของ WHO

3.เป็นฉนวนกันความร้อนสุด Safety ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้โรงงาน

โรงงานอุตสาหกรรม ยิ่งมีเครื่องจักรมาก ยิ่งมีความร้อนมาก ยิ่งใช้ไฟฟ้ามาก มีสารเคมีมาก ๆ ยิ่งเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุอัคคีภัยได้แบบไม่คาดฝันเสมมอ ดังนั้น ถ้าการติดตั้งฉนวนกันความร้อนสามารถช่วยให้โรงงานปลอดภัยจากอัคคีภัยได้มากขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างมาก

นั่นเองจึงทำให้ฉนวนกันความร้อนโรงงาน เป็นที่ถูกใจของผู้ประกอบการที่ทราบว่าไม่เพียงแต่จะกันความร้อนดีเท่านั้น ฉนวนกันความร้อน ยังมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ คือเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ฉนวนกันความร้อนจะไม่ทำให้ไฟลุกลามเพิ่มขึ้น จึงช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับโรงงานลงได้มาก เรียกได้ว่าติดฉนวนกันความร้อนแล้ว รู้สึกปลอดภัยขึ้นอีกหลายเท่า

4.เป็นฉนวนกันความร้อนที่มีอายุการใช้งานยาวนาน

ต่อให้คุณภาพดีแค่ไหน แต่ถ้าใช้งานได้ไม่นาน เสื่อมสภาพเร็ว และไม่สามารถคงคุณสมบัติความเป็นฉนวนได้ยาวนาน ก็คงไม่ตอบโจทย์ เพราะคงเป็นเรื่องเสียเวลาและงบประมาณอย่างมากที่ต้องรื้อเปลี่ยนฉนวนกันความร้อนบ่อย ๆ ดังนั้น ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดีจึงต้องมีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งฉนวนกันความร้อนโรงงาน นั้นตอบโจทย์ได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ดูดซับน้ำ กันความชื้นได้ดี จึงทำให้ไม่เสื่อมสภาพเร็ว คงคุณสมบัติการเป็นฉนวนกันความร้อนได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพ ติดตั้งครั้งเดียว สามารถใช้งานควบคุมความร้อนสะสมในโรงงานได้เป็นสิบ ๆ ปี

ฉนวนกันความร้อนโรงงาน ครบเครื่องตอบโจทย์สำหรับการใช้งานในโรงงาน ทั้งกันความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยต่อสุขภาพ อายุการใช้งานยาวนาน และยังช่วยเสริมความปลอดภัยภายในโรงงานได้ด้วย อีกทั้งยังมีหลายประเภทให้เลือกใช้งานตามต้องกัน ไม่ว่าจะเป็นฉนวนสำหรับงานหลังคา งานระบบท่อปรับอากาศ งานท่อน้ำร้อนน้ำเย็นอุณหภูมิสูง และงานสำหรับห้องเครื่องจักร จึงไม่แปลกที่ผู้ประกอบการโรงงานให้ความไว้วางใจเลือกใช้สำหรับติดตั้งภายในโรงงานเพื่อแก้ปัญหาความร้อนสะสม

6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
อาหารสายยาง อาหารปั่นผสมสามารถให้พร้อมกับยาได้หรือไม่

อาหารสายยาง อารหารปั่นผสม เป็น อาหารสุขภาพ ที่ได้รับการยอมรับให้ใช้รักษาผุ้ป่วยที่ไม่สามารถกลืนอาหารเองได้ เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารของผู้ป่วย การได้รับสารอาหารและสารน้ำมีผลต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นความจำเป็นสำคัญของการมีชีวิตอยู่ได้ โดยปริมาณและคุณค่าของอาหารมีผลต่อร่างกายและจิตใจ

การได้รับอาหารน้อยหรือไม่มีประโยชน์ และมีสุขลักษณะการรับประทานอาหารที่ไม่ดีนั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการติดโรคต่างๆ รวมทั้งส่งผลให้การเจ็บป่วยเรื้อรังนั้นมีอาการที่แย่ลง หากผู้ป่วยขาดสารอาหารหรือขาดยา ก้อาจจะทำให้อาการป่วยทรุดลงได้ หลายคนสงสัยว่า ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้นั้น มีการรับประทานยาอย่างไร

สำหรับการรับประทานยาของผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาเองได้ ก็อาจจะมีการฉีดเข้าร่างกาย หรืออาจจะให้พร้อมกับอาหารปั่นผสมที่ให้ทางสายยาง เพราะการให้อาหารทางสายจะส่งตรงเข้ากระเพาะอาหารโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกลืนอาหารเอง อาจจะให้ยาเข้าไปพร้อมกับอาหารปั่นผสม เพื่อให้ผู้ป่วยรับยาไปในตัวได้ แต่การให้ยาผู้ป่วยพร้อมกับอาหารปั่นผสมต้องปรึกษากับแพทย์ก่อน

เนื่องจากอาจจะมีผลข้างเคียงหรือตัวยาที่ต้องรับประทานตามเวลา แต่อย่างไรก็ตาม การให้ยาพร้อมกับอาหารปั่นผสม สามารถทำได้ แต่ต้องที่ความรู้ในเรื่องของการให้ยาและอาหารปั่นผสมไปพร้อมกัน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย

นอกจากนี้ การให้ยาหลังอาหารที่เตรียมไว้ ลงไปแล้วควรเติมน้ำตาม 50 – 100 ซีซี เพื่อล้างอาหารและยา เพื่อผู้ป่วยจะได้ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นโรคไต เนื่องจากได้รับยา และทำให้ไตทำงานหนัก

ทั้งนี้ผู้ดูแลควรสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากเกิดความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ และรีบแก้ไขโดยด่วน อย่างไรก็ตามต้องหมั่นตรวจการขับถ่ายของผุ้ป่วยด้วยว่ามีสีที่ผิดปกติหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจจะทำให้เกิดภาวะอาหารที่ไม่สามารถเข้ากับผุ้ป่วยได้ หรืออาหารที่ไม่สะอาดและปลดภัยนั่นเอง

8
บริการทำความสะอาด: วิธีเช็ดกระจกให้ใสปิ๊ง ตอบชัดทำไมหนังสือพิมพ์ช่วยได้ !

คุณเบื่อไหมกับการเช็ดกระจกเท่าไหร่ก็ยังทิ้งคราบเป็นรอยอยู่ดี วันนี้เรามีคำตอบชัดๆ ว่าทำไมหนังสือพิมพ์ถึงเป็นตัวช่วยมหัศจรรย์ที่ทำให้กระจกของคุณใสปิ๊งได้ และมาพร้อมกับเคล็ดลับดีๆ ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ ที่บ้านเลยค่ะ


ทำไมหนังสือพิมพ์ถึงช่วยเช็ดกระจกได้ใสปิ๊ง?

เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่ หมึกพิมพ์ และ เนื้อกระดาษ

หมึกพิมพ์: หมึกพิมพ์ในกระดาษหนังสือพิมพ์มีส่วนผสมของสารที่ช่วยขจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อนำไปเช็ดกระจกจึงช่วยสลายคราบเหล่านี้ ทำให้กระจกสะอาดและใสขึ้น

เนื้อกระดาษ: เนื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ค่อนข้างหยาบแต่ไม่ถึงกับทำให้เกิดรอยขีดข่วน ซึ่งคุณสมบัตินี้ทำให้สามารถเช็ดและขัดคราบสกปรกออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งคราบฝุ่นหรือใยกระดาษเหมือนกับกระดาษทิชชูทั่วไป


วิธีเช็ดกระจกให้ใสไร้คราบด้วยหนังสือพิมพ์

เตรียมน้ำยาทำความสะอาด: ผสมน้ำเปล่ากับน้ำส้มสายชูในอัตราส่วน 1:1 หรือใช้น้ำยาเช็ดกระจกโดยเฉพาะ

ฉีดน้ำยาให้ทั่ว: ฉีดน้ำยาลงบนกระจกให้ทั่วถึง

ขยำหนังสือพิมพ์: นำกระดาษหนังสือพิมพ์มาขยำให้เป็นก้อนกลมๆ พอดีมือ

เช็ดให้ทั่ว: ใช้ก้อนหนังสือพิมพ์เช็ดกระจกให้ทั่ว โดยเช็ดเป็นทิศทางเดียวกันจากบนลงล่าง หรือเป็นแนวตั้งสลับแนวนอน เพื่อป้องกันการเกิดรอย


เคล็ดลับเพิ่มเติม

ไม่เช็ดตอนแดดจัด: ควรเช็ดกระจกในวันที่ไม่มีแดดจัด เพราะความร้อนจะทำให้น้ำยาแห้งเร็วเกินไปและทิ้งคราบได้

ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์: หากไม่สะดวกใช้หนังสือพิมพ์ ผ้าไมโครไฟเบอร์เป็นอีกตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ทิ้งใยผ้าและสามารถทำความสะอาดได้ดีไม่แพ้กัน

ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ รับรองว่ากระจกในบ้านของคุณจะกลับมาใสสะอาดเหมือนใหม่แน่นอนค่ะ

9
จัดฟันบางนา: การขบเคี้ยวแรงๆ ทำให้รากฟันเทียมอักเสบ

การดูแลรักษาช่องปากและฟันถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะฟันของเราจะอยู่คู่กับเราไปตลอดชีวิต และเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตเพราะฟันจะต้องใช้ในการบดเคี้ยวอาหารหรือรับประทานอาหาร แต่หากเรามีฟันที่ไม่แข็งแรง มีปัญหาสุขภาพฟัน ก็จะมีผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้รู้สึกไม่เจริญอาหารหรือเกิดปัญหาการเบื่ออาหารได้ และทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ซึ่งการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันสามารถทำได้ง่าๆเพียงแค่แปรงฟันให้ถูก ภายวิธีหลังจากรับประทานอาหารทุกครั้งและก่อนเข้านอน รวมไปถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารับการจัดฟันหรือผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม


รวมไปถึงผู้ที่สุขภาพฟันที่แข็งแรงและไม่มีปัญหาสุขภาพฟัน ก็จะต้องมีการระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหาร เพราะการรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพฟันเช่นเดียวกัน หากเรารับประทานอาหารที่มีความแข็งมากเกินไปและจะต้องใช้แรงในการบดเคี้ยวแรงๆ อาจจะส่งผลทำให้ฟันเกิดหักหรือแตกได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับฟันอย่างแน่นอน เพราะการที่ฟันหักหรือแตกนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันได้ในอนาคต ทำให้คุณมีปัญหาฟันและอาจจะต้องนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาฟันเช่น กระดูกฟันละลายหรือเป็นโรคเหงือกอักเสบ รวมไปถึงจะทำให้ประสิทธิภาพในการรับประทานอาหาร การพูด ลดลงทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เนื่องจากไม่มีฟันในการบดเคี้ยวอาหารนั่นเอง

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น จัดเป็นฟันเทียมชนิดติดแน่นและใส่เพื่อทดแทนสารธรรมชาติที่สูญเสียไปให้สามารถมีหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร ออกเสียงพูด รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการล้มเอียงของฟันที่อยู่บริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคตและยังสามารถช่วยชะลอการละลายตัวของกระดูกฟันบริเวณที่ทำการรักษาได้ ภายหลังจากการฝังรากฟันเทียมแล้วจะต้องมีวิธีการดูแลตัวเองและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ โดยเฉพาะในเรื่องของการรับประทานอาหารจะต้องมีความระมัดระวัง


เพราะการที่ผู้เข้ารับการรักษาบดเคี้ยวอาหารแรงๆ หรือรับประทานอาหารที่มีความแข็ง จะทำให้รากฟันเทียมเกิดการขยายหรือทำให้รากฟันเทียมหลุดได้ เพราะฉะนั้นจะต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ ถ้าหากผู้เข้ารับการรักษาออกแรงในการบดเคี้ยวอาหารหรือรับประทานอาหารที่มีความแข็ง ก็จะส่งผลให้รากฟันเทียมเกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ทำการฝังรากฟันเทียมทำให้ทันตแพทย์จะต้องทำการถอดรากฟันเทียมออก เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมา ซึ่งก็จะถือว่าเป็นการทำให้เสียเวลาในการรักษาและการที่ทันตแพทย์จะทำการฝังรากฟันเทียมใหม่ให้อีกครั้ง ก็จะต้องทำการพักฟื้นหรือบางครั้งอาจจะต้องทำการปลูกกระดูกเพิ่ม เนื่องจากกระดูกขากรรไกรเกิดการเสียหายแล้ว ซึ่งถือว่าจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการพักฟื้นและการทำการฝังรากฟันเทียมใหม่อีกรอบ


เพราะฉะนั้นวิธีการดูแลรักษา รากฟันเทียมให้มีความปลอดภัยและการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ดีที่สุดคือ การปฎิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ไม่รับประทานอาหารที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดผลเสียต้องรากฟันเทียม รวมไปถึงปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ผู้เข้ารับการรักษาควรมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี เนื่องจากการเข้ารับการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงหรือเป็นผู้ป่วยจิตเภท รวมไปถึงผู้ที่มีพฤติกรรมประวัติการสูบบุหรี่จัดหรือผู้เข้ารับการรักษาที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม


รวมไปถึงผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่ไม่สามารถดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันเทียมได้ให้อยู่ในสภาพที่ดี ดังนั้นการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมจึงไม่สามารถทำได้ในผู้ที่สูญเสียฟันทุกราย แต่จะต้องอยู่ในการพิจารณาของทันตแพทย์ว่าผู้เข้ารับการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้ แต่หากคุณสนใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฟังรากฟัเทียมสามารถเข้าขอคำแนะนำจากทางคลินิกได้เพราะเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษารวมไปถึงสามารถประเมินสุขภาพฟันเบื้องต้นให้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

10
หากเด็กมีอาการฟันผุ ขณะจัดฟันเด็ก
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น มักพบได้บ่อยเพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มักมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการตกค้าง เวลาที่เด็กแปรงฟันได้ไม่สะอาด ซึ่งในข้อนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสอนเด็กให้รู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่เด็กมีฟันน้ำนมผุจนรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟันก็อาจจะทำให้ฟันแท้มีปัญหาได้ เพราะเนื่องจากการที่ฟันน้ำนมหลุดออก ก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ฟันแท้งอกขึ้นมาอย่างผิดปกติหรือบางครั้งเด็กอาจเกิดภาวะฟันแท้หาย


เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ซึ่งในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ถ้าวงการทันตกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยเด็กที่มีอายุสี่ถึง 15 ปีก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้วโดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ ถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน แต่การเข้ารับการจัดฟันอาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาได้ ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มาก คอยหมั่นสังเกตกรรมการแปรงฟันหรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อที่เด็กจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้วและเด็กเกิดมีอาการฟันผุจะต้องทำอย่างไร ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักพบได้บ่อยในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการเกิดอาการฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะจัดฟันต้องมีการใส่เครื่องมือจัดฟันอย่างเข้าไปในช่องปาก ส่งผลให้เกิดช่องว่างหรือซอกเล็กๆ ระหว่างฟันและเครื่องมือ ที่แปรงสีฟันธรรมดาที่เราใช้กัน ไม่สามารถทำความสะอาดได้ทั่วถึง


เมื่อมีเศษอาหารติดบริเวณเครื่องมือ การทำความสะอาดฟันจึงทำได้ยากจำเป็นต้องใช้ความใส่ใจ เวลา และวิธีทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แปรงขนาดเล็กที่สามารถชอนไชไปตามซอกฟันได้ ใช้ไหมขัดฟัน หากไม่ใส่ใจมากพอในเรื่องความสะอาดมากพอในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กฟันผุได้
มีโอกาสเกิดหินปูนเกาะจนเหงือกอักเสบได้  หรืออาจทำให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ นั่นเอง แล้วเมื่อเด็กฟันผุขณะจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะต้องพาเด็กเข้าพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยทันที แต่ความจริงแล้วปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันก่อนการเข้ารับการจัดฟันนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียดเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาก่อนเข้ารับการจัดฟันเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน


แต่ในกรณีที่เด็กเกิดฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันนั้นจะต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วนเพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันได้หรืออาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณข้างเคียงซี่อื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจมันสังเกตช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ติดตามดูอาการและผลข้างเคียงต่างๆด้วย
 

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด หากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทางเราสามารถตรวจและแก้ไขรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะได้ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

11
Doctor At Home: โรคพยาธิตัวตืด (Taeniasis)

โรคพยาธิตัวตืดเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืด*ในเนื้อหมูและเนื้อวัว

ในบ้านเราพบโรคพยาธิตัวตืดในภาคอีสานมากกว่าภาคอื่น ๆ เนื่องเพราะคนในภาคนี้ยังนิยมกินเนื้อดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบหมู ลาบเนื้อ ยำเนื้อ พล่าเนื้อ หมูแหนม เป็นต้น และพบเป็นโรคพยาธิตืดวัว มากกว่าตืดหมู

*วงจรชีวิตของพยาธิตัวตืด

พยาธิตัวตืด หรือพยาธิตัวแบน (tape worm) ที่พบบ่อยได้แก่ พยาธิตืดวัว (Taenia saginata) กับพยาธิตืดหมู (Taenia solium) พยาธิตัวเต็มวัย (ตัวแก่) ซึ่งมีความยาวประมาณ 3 เมตร ประกอบด้วยปล้องจำนวนมากมาย อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน ปล้องของพยาธิจะหลุดออกมากับอุจจาระหรือออกมาเอง แล้วแตกซึ่งจะปล่อยไข่ (ปล้องหนึ่ง ๆ มีไข่เป็นพันเป็นหมื่นฟอง) กระจายอยู่บนพื้นดินหรือพื้นหญ้า เมื่อวัว (หรือหมู) กินไข่ตัวตืดวัว (หรือตืดหมู) ที่ออกจากอุจจาระคนเข้าไป ตัวอ่อนจะฟักในลำไส้และไชเข้ากระแสเลือด ไปอยู่ตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกายโดยมีถุงหรือซิสต์ (cyst) หุ้ม เป็นถุงเล็ก ๆ ขาว ๆ คล้ายเม็ดสาคู ซึ่งเรียกว่า เนื้อสาคู (หรือหมูสาคู) ถ้าคนกินเนื้อ (หรือหมู) สาคูเข้าไป ตัวอ่อนก็จะไปเจริญเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดหมู (ที่ออกจากอุจจาระผู้ป่วย) ซึ่งปนเปื้อนตามมือ ผัก หรืออาหาร หรือตัวผู้ป่วยเองเกิดอาเจียนขย้อนเอาไข่ที่อยู่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาอยู่ในกระเพาะอาหาร ตัวอ่อนก็จะฟักตัวออกจากไข่ แล้วไชเข้ากระแสเลือดกลายเป็นซิสต์กระจายไปอยู่ตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมู (cysticercosis) อาจอยู่ในกล้ามเนื้อและสมอง (แต่ถ้าคนกินไข่ของตืดวัว ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจะตายไป ไม่เกิดอันตรายเหมือนกินตืดหมู)

วงจรชีวิตของพยาธิตัวตืด

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกินเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีซิสต์ (เนื้อสาคูหรือหมูสาคู) แบบดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ หรือกลืนไข่ตัวตืดหมูที่ปนเปื้อนผัก อาหาร หรือมือ

อาการ

ถ้าเป็นโรคพยาธิตัวตืดในลำไส้ โดยทั่วไปจะไม่มีอาการรุนแรง เพียงแต่เวลาถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ เป็นครั้งคราว บางรายอาจมีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม อ่อนเพลีย น้ำหนักลด อาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย การตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบไข่ของพยาธิตัวตืด

บางรายอาจมีอาการแพ้ เป็นลมพิษได้

แต่ถ้ากินไข่ของตืดหมูเข้าไป จะเกิดมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ถ้าไปอยู่ในตา เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตา (ocular cysticercosis) อาจทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ ม่านตาอักเสบ ประสาทตาอักเสบ อาจทำให้ตาบอดได้ ถ้าไปอยู่ในสมอง เรียกว่า โรคซิสต์พยาธิตืดหมูในสมอง (cerebral cysticercosis) อาจทำให้มีอาการชักแบบลมบ้าหมู แขนขาเป็นอัมพาต มีอาการทางจิตประสาท หรือปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนได้


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการอุดกั้นไส้ติ่ง (ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ) หรืออุดกั้นทางเดินน้ำดี (ทำให้ดีซ่าน)

ถ้ากลายเป็นโรคซิสต์พยาธิตืดหมูในตาหรือในสมอง อาจทำให้ตาบอด หรือมีความผิดปกติของสมอง เช่น โรคลมชัก อัมพาต โรคจิตประสาท เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจอุจจาระ ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าพบปล้องของพยาธิตัวตืดหลุดปนมากับอุจจาระ หรือตรวจพบไข่พยาธิตัวตืดในอุจจาระ ให้กินยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล, นิโคลซาไมด์, อัลเบนดาโซล, พราซิควานเทล เป็นต้น

ถ้าสงสัยเป็นโรคพยาธิตืดหมู หลังกินยาฆ่าพยาธิ 2 ชั่วโมง ควรให้กินยาถ่ายดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 2-3 ช้อนโต๊ะตามไปด้วย เพื่อเร่งการขับพยาธิออกทางลำไส้ ป้องกันการขย้อนเอาไข่ในปล้องแก่ของพยาธิขึ้นมาที่กระเพาะอาหาร

2. ถ้าพบตุ่มขนาดเมล็ดถั่วเขียวอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย หรือมีอาการทางสมอง เช่น อัมพาต ชัก ปวดศีรษะมาก หรือมีอาการทางจิต หรือมีอาการทางตา (เช่น ตาแดง ตามัว) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง ตัดชิ้นเนื้อที่มีตุ่มตรงใต้ผิวหนังไปตรวจหาตัวพยาธิ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ

ถ้าซิสต์พยาธิมีลักษณะเป็นหินปูน และผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอาการทางสมอง และตรวจพบว่าในเนื้อสมองมีซิสต์พยาธิที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ยาฆ่าพยาธิพราซิควานเทล หรืออัลเบนดาโซล ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากการใช้ยาจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายรุนแรง และจำเป็นต้องให้ยาสเตียรอยด์ขนาดสูงร่วมด้วย (ถ้าพบซิสต์พยาธิในตาหรือไขสันหลัง จะไม่ให้ยารักษาเพราะอาจเกิดผลเสียหายมากขึ้น)

นอกจากนี้ยังให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการชัก ก็ให้ยากันชัก

ถ้ามีการอุดกั้นของทางไหลเวียนของน้ำในสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) อาจต้องผ่าตัดสมองเพื่อถ่ายเทเอาน้ำในสมองและไขสันหลังออกมานอกสมอง

ส่วนการผ่าตัดเพื่อนำซิสต์ของพยาธิออกจากสมองนั้นเป็นเรื่องยาก และอาจทำลายถูกเนื้อสมองใกล้เคียง จึงไม่นิยมทำกัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายอุจจาระมีปล้องพยาธิคล้ายเส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลุดออกมาเป็นท่อน ๆ, มีอาการหิวบ่อย กินจุแต่ผอม หรือน้ำหนักลด, มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระบ่อย, หรือมีตุ่มซิสต์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวกระจายอยู่ใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิตัวตืด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    มีอาการปวดศีรษะมาก ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
    มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
    มีอาการปวดท้องมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. เนื้อหมู เนื้อวัวที่ใช้กินเป็นอาหารควรได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ว่าไม่เป็นเนื้อหมู เนื้อวัวสาคู

2. กินเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อควายที่ทำให้สุกแล้ว อย่ากินดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ยำ พล่า แหนม เป็นต้น

3. ผักสด ผลไม้ควรล้างให้สะอาดก่อนกิน

4. ควรถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด

5. ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง

ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีอาการชักแบบลมบ้าหมู อาจเกิดจากพยาธิตืดหมู โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบอาการชักครั้งแรกในคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปี หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

12
หมอประจำบ้าน: ถุงน้ำดีอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบ หมายถึง ภาวะที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาวะแทรกซ้อนของนิ่วน้ำดี (นิ่วในถุงน้ำดี) ดังนั้น จึงพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นนิ่วน้ำดี และพบได้บ่อยที่สุดในช่วงอายุ 50-69 ปี

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้และปวดท้องเกิดขึ้นฉับพลันทันที เรียกว่า "ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (acute cholecystitis)" ซึ่งมักมีอาการปวดท้องรุนแรง นับว่าเป็นโรคที่รุนแรงที่ต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลอย่างรีบด่วน เนื่องเพราะหากปล่อยไว้หรือได้รับการรักษาที่ล่าช้า อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ส่วนน้อยอาจมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่ชัดเจน และมักไม่ได้ถูกวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง เรียกว่า "ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง (chronic cholecystitis)" ซึ่งการอักเสบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก จะทำให้ผนังถุงน้ำดีหนาตัว ไม่สามารถขยายตัวและบีบตัวได้เป็นปกติ และหากปล่อยไว้ อาจกลายเป็นถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

ถุงน้ำดีอักเสบพบมากในกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน) ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงสูง

สาเหตุ

ถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนใหญ่มักเป็นภาวะแทรกซ้อนของนิ่วน้ำดี (นิ่วในถุงน้ำดี) หรือตะกอนในถุงน้ำดี (gall bladder sludge)  เนื่องจากนิ่วหรือตะกอนหลุดออกจากถุงน้ำดีลงมาอุดตันบริเวณปากถุงน้ำดี (cystic duct) ทำให้ถุงน้ำดีมีแรงดันเพิ่มขึ้นและมีการขยายตัว ทำให้เยื่อบุผนังของถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นผลให้เกิดการอักเสบ และบางรายอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น อีโคไล เคล็บซิลลา สเตรปโตค็อกคัส  สแตฟีโลค็อกคัส เป็นต้น) ร่วมด้วย

มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี แต่เกิดเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ อาทิ  โรคติดเชื้อ (เช่น เอดส์ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ เป็นต้น), ภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (จากเนื้องอกในช่องท้อง หรือจากการตีบตันของท่อน้ำดีที่เกิดความผิดปกติ), การผ่าตัดในช่องท้อง, การบาดเจ็บรุนแรง หรือบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก, ภาวะขาดอาหารรุนแรง, การเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่กระทบต่อถุงน้ำดี หรือเกิดการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงถุงน้ำดีทำให้ถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นต้น มักพบในผู้ป่วยที่สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีการเจ็บป่วยหนัก นอนรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก มีภาวะช็อก หัวใจล้มเหลว หรือโลหิตเป็นพิษ หรือแพทย์ให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ (parenteral nutrition) เป็นเวลานาน สันนิษฐานว่าปัจจัยเหล่านี้ทำให้ถุงน้ำดีบีบตัวได้น้อย และน้ำดีซึ่งมีความเข้มข้น (เนื่องจากมีไข้สูงจากโรคที่เป็นสาเหตุ และภาวะขาดน้ำ) คั่งค้างอยู่ในถุงน้ำดีนาน ทำให้ถุงน้ำดีมีแรงดันเพิ่มขึ้น และเยื่อบุผนังของถุงน้ำดีขาดเลือด เป็นผลให้ถุงน้ำดีอักเสบ*

*ถุงน้ำดีอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี (acalculous cholecystitis) พบได้ราวร้อยละ 5-10 ของผู้ที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบทั้งหมด ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ส่วนมากจะเกิดอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้สูงและปวดท้องรุนแรง) แต่มีความรุนแรง (คือมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่ ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า และถุงน้ำดีแตกทะลุ) และมีอัตราตายมากกว่าถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดี (calculous cholecystitis) แพทย์จะทำการรักษาแบบเดียวกับถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน

อาการ

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมีการอักเสบเกิดขึ้นฉับพลันทันที ด้วยอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา เวลาหายใจลึก ๆ จะปวดเจ็บมากขึ้น  และมักมีอาการกดเจ็บ (ใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวดจะรู้สึกเจ็บมาก) อาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ขวา ใต้สะบักขวาหรือ ตรงกลางหลัง นอกจากนี้ อาจมีอาการท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

อาการมักเกิดหลังกินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมัน ๆ และจะมีอาการปวดท้องตลอดเวลาต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้รับการรักษา

บางรายอาจมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น) และอุจจาระสีซีดขาว เนื่องจากน้ำดีถูกอุดกั้น ระบายสู่ลำไส้ไม่ได้ และย้อนเข้ากระแสเลือด

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ซึ่งอาการจะกำเริบเมื่อนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดีเคลื่อนตัวไปอุดตันปากถุงน้ำดี ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องแบบเล็กน้อยตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ขวา ใต้สะบักขวา หรือตรงกลางหลัง และอาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ คลื่นไส้ อาเจียน อาการมักเป็นในเวลาตอนเย็นหรือกลางคืน หรือหลังจากกินอาหารมัน ๆ อาการปวดท้องที่เป็นเพียงเล็กน้อยตรงชายโครงขวาและใต้ลิ้นปี่ มักทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย

อาการปวดท้องแต่ละครั้งจะเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วก็จะหายไปได้เองอยู่ระยะหนึ่ง (เนื่องจากนิ่วหรือตะกอนในถุงน้ำดีเคลื่อนตัวหลุดออกจากปากถุงน้ำดี ทำให้การอุดตันนั้นคลายไป) ต่อมาอีกสักระยะหนึ่ง เมื่อเกิดการอุดตันกลับมาอีก อาการก็จะกลับมากำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยอาจมีอาการแรงขึ้นหรือบ่อยขึ้น

บางรายในเวลาต่อมาอาจมีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง) หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เกิดขึ้นได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

    ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี (empyema of gallbladder) ซึ่งเกิดจากน้ำดีในถุงน้ำดีเกิดการติดเชื้อ กลายเป็นหนองขังอยู่ในถุงน้ำดี อาจทำให้เกิดภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) เป็นอันตรายได้
    ถุงน้ำดีเป็นเนื้อตายเน่า (gangrene of gallbladder) ซึ่งเกิดจากผนังถุงน้ำดีที่อักเสบเกิดการบวมและขยายตัว ทำให้ขาดเลือดและเนื้อเยื่อตาย ถุงน้ำดีเกิดการแตกทะลุ เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบและหนองในช่องท้อง เชื้อเข้ากระแสเลือด กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายได้
    ถุงน้ำดีที่มีภาวะพองลม (emphysematous cholecystitis) เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงถุงน้ำดีแข็งและตีบตัว ทำให้ถุงน้ำดีขาดเลือด เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่สร้างก๊าซ (gas forming organism เช่น กลุ่มเชื้อคลอสตริเดียม อีโคไล เป็นต้น) ทำให้เกิดการสะสมของก๊าซ (การพองลม) ในผนังถุงน้ำดีและภายในของถุงน้ำดี เป็นภาวะที่พบได้น้อย พบบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้ ซึ่งมีอัตราตายสูง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเนื้อตายเน่าและการแตกทะลุของถุงน้ำดี
    ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อาจพบได้ เช่น ภาวะโลหิตเป็นพิษ (เชื้อเข้ากระแสโลหิต) ตับอ่อนอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ ตับอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง อาจพบภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

    มีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง และอาจมีผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงดังกล่าวข้างต้น
    ลำไส้อุดกั้น (small bowel obstruction) เนื่องจากเกิดทางทะลุ (fistula) ระหว่างถุงน้ำดีกับลำไส้เล็ก นิ่วในถุงน้ำดีหลุดเข้าไปอุดกั้นในลำไส้เล็ก ทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืดแน่นรุนแรง เรียกว่า "ภาวะลำไส้อุดกั้นจากนิ่วน้ำดี (gallstone ileus)"
    ท่อน้ำดีเกิดการอุดกั้น จากการกดเบียดของพังผืดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดี ทำให้เกิดภาวะดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น และอุจจาระสีซีดขาว) และอาจเกิดการติดเชื้อ ทำให้ท่อน้ำดีอักเสบแทรกซ้อนได้
    การอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดี อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของถุงน้ำดีมากกว่าปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากการซักถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกาย ในผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันมักพบว่ามีไข้ กดเจ็บมากตรงใต้ชายโครงขวาหรือใต้ลิ้นปี่ บางรายอาจตรวจพบอาการตาเหลืองตัวเหลือง

ส่วนในผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง จะไม่พบว่ามีไข้ หรืออาการตาเหลืองตัวเหลือง และอาจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจนอื่น ๆ ยกเว้นบางรายอาจตรวจพบอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (abdominal ultrasound) และการตรวจเลือด (ในถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ และการทำงานของตับผิดปกติ) เป็นหลัก ในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต (โลหิตเป็นพิษ) แพทย์จะทำการเพาะเชื้อจากเลือด (blood culture) และทดสอบความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การตรวจระบบทางเดินอาหารโดยการส่องกล้องที่ติดอัลตราซาวนด์ (endoscopic ultrasound) การถ่ายภาพรังสีตรวจถุงน้ำดีโดยการกินสารทึบรังสี (oral cholecystography) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจสแกนตับและทางเดินน้ำดี (hepatobiliary scan) การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยให้ผู้ป่วยงดน้ำและอาหารเพื่อให้ถุงน้ำดีได้พัก และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ให้ยาบรรเทา (เช่น แก้ปวด แก้ไข้ แก้คลื่นไส้อาเจียน)

2. ให้ยาปฏิชีวนะ รักษาการติดเชื้อ ซึ่งมักจะให้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นหลัก

3. ทำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงน้ำดีอักเสบกำเริบซ้ำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งจะพิจารณาทำการผ่าตัดในเวลาที่เหมาะสม ยกเว้นในรายที่มีภาวะที่รุนแรง (เช่น ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า ภาวะโลหิตเป็นพิษ) หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลเท่าที่ควร แพทย์ก็จะทำการผ่าตัดแบบรีบด่วน

การผ่าตัด แพทย์จะเลือกวิธีผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง (laparoscopic cholecystectomy) หรือผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง (open cholecystectomy) โดยพิจารณาตามสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย

ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดถุงน้ำดี แพทย์จะใช้วิธีผ่าระบายถุงน้ำดี (cholecystostomy) โดยทำการเปิดถุงนํ้าดีผ่านทางหน้าท้อง เพื่อระบายเอาหนองหรือน้ำดีออกทางท่อต่อสายยางที่เย็บติดกับทางเปิดนั้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ได้ผลดี ร่างกายฟื้นตัวหายได้เป็นปกติ

ส่วนน้อยอาจมีความยุ่งยากในการรักษา หรือเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ซึ่งมักจะพบในผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ภาวะมีหนองในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีมีเนื้อตายเน่า เชื้อเข้ากระแสโลหิตหรือโลหิตเป็นพิษ), มีภาวะดื้อต่อยาที่รักษา, หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง ตับแข็ง เป็นต้น)

ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบไม่รีบด่วน คือนัดหมายให้ทำในเวลาที่สะดวกและมีการเตรียมความพร้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง การผ่าตัดถุงน้ำดีนอกจากจะได้ผลดีและปลอดภัยแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้ได้รับอันตรายจากการเกิดถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อีกด้วย

สำหรับผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังบางคนที่ยังไม่สะดวกหรือไม่พร้อมที่จะรับการผ่าตัด หากร่างกายยังแข็งแรงดี หรือมีอาการยังไม่มาก แพทย์จะทำการติดตามดูอาการเป็นระยะ และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูงเพื่อไม่ให้อาการกำเริบบ่อย

การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นถุงน้ำดีอักเสบ เช่น มีไข้และปวดท้องรุนแรงตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา หรือมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ซึ่งกินยารักษาโรคกระเพาะไม่ได้ผล หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด
    ผู้ป่วยที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังที่ยังไม่ได้ผ่าตัด ซึ่งแพทย์นัดติดตามดูอาการเป็นระยะนั้น ควรปฏิบัติ ดังนี้

- ทำงาน และออกกำลังกายได้เป็นปกติ แต่ไม่ให้หักโหมมากเกินไป
- กินอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรอดอาหาร 
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ หนังสัตว์ น้ำมันหมู มันหมู  หมูสามชั้น หมูกรอบ ขาหมู ข้าวมันไก่ เนื้อวัวติดมัน หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอก เนย ครีม กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไข่แดง อาหารทะเล (เช่น หอยแครง หอยนางรม ปลาหมึก) อาหารทอด (เช่น แคบหมู หมูทอด ไก่ทอด กล้วยแขก ปาท่องโก๋ มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบทอด) เป็นต้น
- กินผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชให้มาก ๆ
- งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา
- ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องบ่อย มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด (โดยไม่ตั้งใจ) หรือมีความวิตกกังวล

   
ผู้ป่วยที่กลับจากโรงพยาบาลหลังผ่าตัด

- ควรพักฟื้น และหลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือยกของหนักจนกว่าจะฟื้นตัวเป็นปกติ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- ดูแลรักษาแผลผ่าตัดตามที่แพทย์แนะนำ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารโปรตีนให้มาก เช่น นมพร่องมันเนย ไข่ขาว เนื้อปลา เต้าหู้ ถั่วเหลือง เป็นต้น
- กินอาหารที่ย่อยง่าย วันละ 5-6 มื้อ แต่ละมื้อลดปริมาณลงเหลือครึ่งหนึ่งของปกติ (จากที่เคยกินวันละ 3 มื้อ)
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง และอาหารที่ทำให้ท้องอืดแน่น หรือท้องเดิน
- กินผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชให้มาก ๆ
- ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าแผลอักเสบ, หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินมาก ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด (โดยไม่ตั้งใจ), หรือถ้ากินยาที่แพทย์สั่งให้แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

1. หาทางป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วน้ำดี โดยปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

    รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินหรือเป็นโรคอ้วน
    ถ้าต้องการลดน้ำหนักตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแนะนำวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ไม่ลดเร็วเกินไป เนื่องเพราะการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี
    กินอาหารให้ตรงเวลา ไม่ข้ามมื้ออาหาร หรืออดอาหาร
    ลดอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
    กินอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

2. ผู้ที่แพทย์ตรวจพบว่าเป็นนิ่วน้ำดี ควรรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีตามที่แพทย์แนะนำ

ข้อแนะนำ

1. ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (มีอาการไข้และปวดท้องรุนแรงตลอดเวลา) ซึ่งพบได้บ่อยกว่าถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง (มีอาการปวดท้องที่ไม่ค่อยชัดเจนและไม่รุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย) นับว่าเป็นภาวะที่ค่อนข้างร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็ว หากมีอาการสงสัย ควรไปพบแพทย์ภายใน 6 ชั่วโมง การไปพบแพทย์ล่าช้าเกินไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษาหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ

2. ผู้ที่มีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาแบบไม่รุนแรง หรือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบ่อย โดยที่สุขภาพทั่วไปเป็นปกติดี และมักมีอาการหลังกินอาหาร เป็น ๆ หาย ๆ คล้ายอาการของโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อย มักจะเข้าใจว่าเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร (เช่น กรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารอักเสบ) ถ้าลองกินยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะแล้วอาการไม่ทุเลา หรือมีอาการเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการของถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติเป็นนิ่วน้ำดีแบบไม่มีอาการ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วน้ำดี (เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน คนอ้วน เป็นต้น)

3. เมื่อตรวจพบว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบ แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกไป หลังผ่าตัดใหม่ ๆ ผู้ป่วยบางคนอาจมีปัญหาการย่อยไขมันได้ ทำให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน หรือถ่ายเหลวบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัว ทำให้อาการทุเลาไปได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ ระหว่างที่มีอาการ แนะนำให้ผู้ป่วยงดกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่ทำให้ท้องอืดแน่น หรือท้องเดิน ควรกินผัก ผลไม้ และธัญพืชให้มาก ๆ

13
ตรวจอาการด้วยตนเอง: โรคเชื้อราในช่องหู (Otomycosis)

โรคเชื้อราในช่องหู (หูอักเสบจากเชื้อรา) เป็นโรคหูชั้นนอกอักเสบชนิดหนึ่ง

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ แอสเปอร์จิลลัสไนเจอร์ (Aspergillus niger) และแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) มักพบหลังเล่นน้ำ หรือใช้ไม้แคะหูร่วมกับผู้ที่เป็นโรคนี้ (เช่น แคะหูตามร้านตัดผม) และอาจพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อในหูเรื้อรังและใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเชื้อราตามผิวหนังหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น


อาการ

มีอาการคันในรูหูมาก อาจมีอาการปวดหูหรือหูอื้อ หรือมีของเหลวไหลออกจากหู


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุ

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์) การติดเชื้ออาจลุกลามเข้ากระดูกอ่อนในบริเวณหูหรือฐานกะโหลกได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเมื่อใช้เครื่องส่องหู มักเห็นลักษณะขุย ๆ สีขาว สีดำหรือน้ำตาล ติดอยู่บนผิวหนังในรูหู หูชั้นนอกมีการอักเสบบวมแดง
บางกรณี แพทย์จะนำของเหลวในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดในช่องหู ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาโพวิโดนไอโอดีน เช็ดในช่องหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ยาหยอดหูที่เข้ายารักษาโรคเชื้อรา เช่น โคลไตรมาโซล (clotrimazole) หยอดหูครั้งละ 4-5 หยด วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีการใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ ให้หยุดใช้

ในรายที่รักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบรุนแรง แพทย์จะให้กินยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole)

ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ รวมทั้งตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพราะผู้ป่วยอาจเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวอยู่ก่อนก็ได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคันหู ปวดหู มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์

          เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
    งดการเดินทางโดยเครื่องบิน
    หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ใด ๆ สวมใส่หู
    เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหูป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู

       
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษา 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีไข้สูง หรือปวดหูมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการแคะหู ด้วยนิ้วมือ ไม้แคะหู ไม้พันสำลี หรือสิ่งอื่น ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
    เวลาใช้สเปรย์ผมหรือยาย้อมผม ควรใช้สำลีอุดหู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
    หลังอาบน้ำ สระผม หรือว่ายน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณรอบ ๆ ใบหูให้แห้ง และตะแคงหูลงทีละข้างลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู ป้องกันไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้)
    ผู้ที่มีหูอักเสบหรือหลังได้รับการผ่าตัดหู ก่อนจะลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในสระ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าสมควรหรือไม่

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนมากสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการกำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือพบว่าหูชั้นนอกมีการอักเสบรุนแรง (ปวดหูมาก หนองไหล มีกลิ่นเหม็น หูตึง อาจมีอาการปากเบี้ยว) แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดว่าเป็นเบาหวาน หรือโรคเอดส์หรือไม่

14
ตรวจสุขภาพ: งูกัด (Snakebites)

ในบ้านเรา พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดได้ค่อนข้างบ่อย และในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกงูกัดอยู่พอประมาณ

ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 10-39 ปี ถูกงูกัดมากกว่าช่วงอายุอื่น และผู้ชายจะถูกงูกัดมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า ยกเว้นงูเขียวหางไหม้ ที่ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสถูกกัดเท่า ๆ กัน

ช่วงเวลาที่พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดชุกชุม มักเป็นฤดูฝน (ตั้งแต่พฤษภาคมจนถึงพฤศจิกายน)

สำหรับผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด พบว่าเกิดจากถูกงูกะปะกัดมากเป็นอันดับหนึ่ง (พบมากทางภาคใต้) รองลงมา ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ (พบมากทางภาคกลาง) และงูเห่า (พบมากทางภาคกลาง) ตามลำดับ

ความเเตกต่างระหว่างงูพิษ กับงูไม่มีพิษ

งูพิษ มีเขี้ยว (fang) 1 คู่ อยู่ตรงขากรรไกรบน เขี้ยวมีลักษณะเป็นรูกลวงคล้ายเข็มฉีดยา มีท่อติดต่อกับต่อมน้ำพิษ เมื่องูพิษกัดคนหรือสัตว์ ต่อมน้ำพิษจะปล่อยพิษไหลมาตามท่อ และออกทางปลายเขี้ยว คนที่ถูกงูพิษกัดจะพบรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด ตรงบริเวณที่ถูกกัด

งูไม่มีพิษ จะไม่มีเขี้ยว มีแต่ฟัน เมื่อกัดคนจะเป็นแต่รอยถลอกหรือรอยถากเท่านั้น จะไม่พบรอยเขี้ยว

งูไม่มีพิษ เช่น งูก้นขบ งูแสงอาทิตย์ งูปี่แก้ว งูเขียวปากจิ้งจก งูลายสาบ งูลายสอ งูงอด งูเหลือม และงูหลาม (2 ชนิดหลังตัวใหญ่ สามารถรัดลำตัวทำให้ตายได้)


ชนิดของงูพิษ

งูพิษ 7 ชนิด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของพิษ ได้แก่

1. งูที่มีพิษต่อประสาท (neurotoxin) ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต

2. งูที่มีพิษต่อเลือด (hemotoxin) ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้เลือดออกตามส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพราะพิษของมันทำให้เลือดไม่แข็งตัว

3. งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) ได้แก่ งูทะเล ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและกล้ามเนื้อตาย

ส่วนงูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อประสาทและเลือด แต่จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูเห่า

สาเหตุ

เกิดจากถูกงูพิษฉกกัดด้วยเหตุบังเอิญ ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณที่รก กองไม้ พงหญ้า ดงไม้ ซอกหิน ในบริเวณบ้าน ทุ่งหญ้า ท้องนา ไร่สวน ป่าเขาที่มีงูซุกซ่อนอยู่


อาการ

อาการงูพิษกัด แบ่งเป็นอาการเฉพาะที่ กับอาการทั่วไป

1. อาการเฉพาะที่

แผลที่ถูกงูพิษกัด จะมีลักษณะแตกต่างไปจากงูไม่มีพิษกัด คือ จะพบรอยเขี้ยว 2 รอย เห็นเป็นจุดหรือขีดเล็ก ๆ และมีอาการปวดกับบวมในบริเวณที่ถูกกัด บางครั้งมีเลือดออกซิบ ๆ ต่อมากลายเป็นสีเขียวคล้ำ มีตุ่มพอง ทิ้งไว้จะแตกออก และกลายเป็นแผลเน่า อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)

ส่วนงูไม่มีพิษกัดจะไม่พบรอยเขี้ยว อาจเห็นเพียงรอยถากหรือรอยถลอก

สำหรับงูที่มีพิษต่อเลือดกัด อาการบวมจะเกิดขึ้นรวดเร็วภายใน 15-20 นาที และมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกจากรอยเขี้ยวไม่หยุด อาการบวมจะลุกลามมากขึ้น

ส่วนงูเห่ากัด จะมีอาการปวดพอทน อาการปวดค่อยเพิ่มมากขึ้นและแผ่ซ่านไป และจะมีอาการบวมบริเวณที่ถูกกัดเล็กน้อยภายหลัง 1 ชั่วโมง

ส่วนงูทะเลและงูสามเหลี่ยมกัด มักไม่ค่อยมีอาการปวดบวม


2. อาการทั่วไป

พบได้ประมาณร้อยละ 25-50 ของผู้ที่ถูกงูพิษกัด

มักจะเกิดขึ้นภายใน 1/2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด ในรายที่มีอาการเกิดขึ้นเร็ว ก็แสดงว่าได้รับพิษมาก และอาการจะรุนแรงมากด้วย แต่ถ้าไม่มีอาการเกิดขึ้นหลัง 3 ชั่วโมงไปแล้ว ก็แสดงว่าได้รับพิษน้อยและไม่ค่อยรุนแรง

งูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่ากัด เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการซึม ง่วงนอน หนังตาตก (ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น) ต่อมาแขนขาจะอ่อนแรง ตาหรี่ลง กระวนกระวาย ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ พูดอ้อแอ้ คอตั้งตรงไม่ได้ น้ำลายฟูม หายใจลำบาก เพราะกล้ามเนื้อช่วยการหายใจเป็นอัมพาต ขั้นสุดท้ายจะหยุดหายใจ หมดสติและหัวใจหยุดเต้น ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงที

งูจงอาง ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการเหมือนงูเห่ากัดทุกอย่าง แต่รุนแรงกว่ากันมาก เนื่องจากมีปริมาณพิษมาก ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ก็แสดงอาการคล้ายงูเห่า ต่อมาจะมีอาการเลือดออกตามที่ต่าง ๆ โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบผู้ป่วยที่ถูกงูชนิดนี้กัด

งูที่มีพิษต่อเลือด ตัวที่มีพิษรุนแรงที่สุด ได้แก่ งูแมวเซา เริ่มแรกจะมีเลือดออกเป็นจ้ำ ๆ ตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือดปนเสมหะออกมา ต่อมาจะมีอาการอาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ ผู้ป่วยมักจะไม่เสียชีวิตในเวลาอันสั้น ๆ เหมือนงูเห่ากัด แต่จะค่อย ๆ เสียเลือดจนเกิดภาวะช็อก ในรายที่ได้รับพิษรุนแรง และได้รับการรักษาช้าไป อาจเสียชีวิตภายใน 1-3 วัน ในบางรายถึงแม้อาการทางเลือดจะหายไปแล้ว ก็อาจเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย) เนื่องจากพิษงูทำให้ไตเสีย ซึ่งมักจะเกิดหลังถูกกัด 3-4 สัปดาห์

งูกะปะ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่รุนแรงน้อยกว่า อาจเสียชีวิตจากการเสียเลือดแต่ไม่เกิดภาวะไตวาย มักเกิดอาการเฉพาะที่ค่อนข้างรุนแรง คือ บริเวณที่ถูกกัดจะกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) จนบางครั้งจะต้องตัดนิ้วหรือแขนขา

งูเขียวหางไหม้ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่มักมีอาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่จะพบว่าบริเวณที่ถูกกัดปวดบวมอย่างมาก อาการปวดจะหายภายใน 5-6 ชั่วโมง แผลจะบวมอยู่ 3-4 วัน ในรายที่ไม่รุนแรงจะหายภายใน 5-7 วัน แต่ในรายที่รุนแรงอาการบวมจะลุกลามมาก และผิวหนังพองขึ้นมีเลือดขังอยู่ ถ้าส่วนที่พองนี้แตก จะมีน้ำเหลืองปนเลือดออกไม่หยุดจนช็อก

แม้ว่าอาการจะหายดีแล้ว แต่การแข็งตัวของเลือดผิดปกติอยู่นาน 2-4 เดือน ดังนั้นถ้าผู้ป่วยต้องรับการผ่าตัดหรือคลอดบุตร ควรระวังการตกเลือด

งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล ผู้ป่วยมักถูกกัดในน้ำแถบปากอ่าวหรือขณะเก็บอวน รอยเขี้ยวห่างกันเล็กน้อย และไม่มีอาการปวดบวมแต่อย่างใด 1-2 ชั่วโมงต่อมาจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามแขนขา คอและลำตัว ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งปวด 8 ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการปวดมากขึ้น แขนขาเป็นอัมพาต อ้าปากไม่ได้ หนังตาตก และปัสสาวะออกเป็นสีดำ ผู้ป่วยมักเสียชีวิตภายในเวลา 14-16 ชั่วโมงหลังถูกกัด ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะไตวายเนื่องจากพิษของงูทำให้ไตเสีย

สำหรับผู้ป่วยถูกงูทะเลกัด ขณะนี้ในบ้านเรายังไม่มีการผลิตเซรุ่มแก้พิษงูทะเลขึ้นใช้ จึงได้แต่ให้การรักษาตามอาการ ถ้ารอดไปได้ประมาณ 6 เดือน อาการอัมพาตและอาการอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไป

ภาวะแทรกซ้อน

กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจ เลือดออก ไตวาย หรือแผลเนื้อตาย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของพิษงู

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และ การตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูล ได้แก่

    สถานที่ที่ถูกกัดและอาชีพของผู้ป่วย ถ้าเป็นชาวนาในภาคกลางถูกกัดในท้องนา มักมีสาเหตุจากงูเห่าหรืองูแมวเซากัดมากกว่างูพิษชนิดอื่น ชาวประมงถูกกัดในทะเล มักมีสาเหตุจากงูทะเล ถ้าถูกกัดในบริเวณบ้านก็มักจะมีสาเหตุจากงูเขียวหางไหม้

    ลักษณะของงูพิษ ถ้านำตัวงูมาด้วย หรือผู้ป่วยสามารถบอกถึงลักษณะของงูได้แน่ชัด ก็จะช่วยวินิจฉัยชนิดของงูเเละพิษที่ผู้ป่วยได้รับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ทราบชนิดของงู ก็ต้องตรวจดูงูที่นำมานั้นว่ามีเขี้ยวพิษหรือไม่

    รอยเขี้ยว ผู้ที่ถูกงูพิษกัดจะต้องตรวจพบรอยเขี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีใครบอกได้ว่างูที่กัดนั้นเป็นงูอะไร (หรือรูปร่างอย่างไร) และไม่ได้นำตัวงูมาด้วย การตรวจพบรอยเขี้ยวจะเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเป็นงูพิษกัด

    อาการเเสดง ทั้งอาการเฉพาะที่และอาการทั่วไป จะช่วยบอกถึงชนิดของงูพิษ เช่น ถ้ามีหนังตาตกหรือหยุดหายใจ ก็น่าจะสงสัยงูเห่ากัด ถ้าปวดบวมแผลมากและมีอาการเลือดออก ก็น่าจะสงสัยงูในกลุ่มพิษต่อเลือด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูแมวเซา) ถ้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก และปัสสาวะเป็นสีดำ ก็ช่วยบ่งบอกว่าถูกงูทะเลกัด ถ้ามีอาการปวดบวมตรงบริเวณที่ถูกกัดอย่างมาก โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทหรือมีเลือดออก น่าจะเกิดจากพิษงูเขียวหางไหม้ เป็นต้น

    การทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด (coagulation time) เป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำตามสถานพยาบาลทั่วไป โดยเจาะเลือดผู้ป่วย 3-5 มล. ใส่ในหลอดแก้ว (ที่ล้างสะอาดและแห้งสนิท) ตั้งทิ้งไว้ในห้องตรวจ (ในอุณหภูมิห้อง) เป็นเวลา 20 นาที โดยไม่เขย่าหลอดแก้ว ถ้าเลือดในหลอดแก้วไม่กลายเป็นลิ่ม ก็บ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากกลุ่มงูพิษต่อเลือดมากกว่างูเห่า

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทำความสะอาดบาดแผล แล้วตรวจดูรอยเขี้ยวและลักษณะแผลที่ถูกงูกัด ว่าเข้าลักษณะของแผลงูพิษหรืองูไม่มีพิษ หรือสัตว์อื่นกัด

2. ถ้าพบลักษณะอาการบ่งบอกหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด แพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น น้ำเกลือ เซรุ่มแก้พิษงู เครื่องช่วยหายใจ อะดรีนาลิน สเตียรอยด์ และยาแก้แพ้ไว้ให้พร้อม และมีแนวทางการรักษา ดังนี้

2.1 รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ด้วยการบันทึกสัญญาณชีพ (ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ) ทุกชั่วโมง และดูว่ามีอาการทางประสาท เช่น หนังตาตก (สำหรับกลุ่มพิษต่อประสาท) เลือดออกหรือการทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด นานเกิน 20 นาที (สำหรับกลุ่มพิษต่อเลือด) หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปัสสาวะดำ (สำหรับงูทะเล) หรือไม่ ควรสังเกตอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หากพ้น 12 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้น ก็สามารถให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ภายหลังจากการรักษาบาดแผล

2.2 ถ้าผู้ป่วยมีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ทำการรักษา ดังนี้

(1) ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อใช้เป็นทางฉีดเซรุ่มแก้พิษงูได้สะดวก

(2) ให้เซรุ่มแก้พิษงู (antivenom) เฉพาะสำหรับงูชนิดนั้น ๆ

ในกรณีที่ไม่ทราบว่าถูกงูพิษชนิดใดกัด ก็ต้องอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลักในการตัดสินใจ ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางประสาท ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูเห่า ถ้ามีอาการเลือดออก ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูแมวเซา เป็นต้น

เซรุ่มแก้พิษงู ควรให้ต่อเมื่อมีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีเพียงอาการเฉพาะที่ก็ไม่ต้องให้ ยกเว้นในกรณีที่มีอาการเฉพาะที่รุนแรง เช่น บวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด

การให้เซรุ่มแก้พิษงู สามารถให้แก่ผู้ป่วยทุกรายที่มีข้อบ่งชี้ว่าได้รับพิษรุนแรง ไม่ว่าจะถูกกัดมานานเท่าใดก็ตาม

ในกรณีถูกงูที่มีพิษต่อประสาทกัด แล้วเริ่มเกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อ หรือในกรณีที่ไม่มีเซรุ่มแก้พิษงูกลุ่มนี้ อาจให้ยากลุ่มแอนติโคลินแอสเตอเรส (anti-cholinesterase) ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ซึ่งใช้ได้ผลดีในการรักษาพิษงูเห่า และงูทับสมิงคลา

(3) ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น

    ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในรายที่หยุดหายใจ (เช่น ถูกงูเห่า หรืองูทะเลกัด)
    ให้เลือด ถ้ามีเลือดออกรุนแรง (เช่น ถูกงูแมวเซากัด)
    ในรายที่มีภาวะไตวายเฉียบพลัน (มักเกิดจากงูทะเล หรืองูแมวเซากัด) ต้องรักษาด้วยการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) โดยมากภาวะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-10 วัน

(4) ในรายที่มีเพียงอาการเฉพาะที่ ยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงู (ยกเว้นในรายที่มีแผลบวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด จะให้เซรุ่มแก้พิษงูแบบเดียวกับในรายที่มีอาการทั่วไป) และให้การรักษาตามอาการ เช่น

    ให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เพราะถ้าใช้แอสไพรินอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    จัดแขนขาส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ จะช่วยลดอาการปวดและอาการบวมให้น้อยลงได้ เช่น ถ้าถูกกัดที่เท้า ให้นอนราบและใช้หมอนรองเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ ถ้าถูกกัดที่มือ ให้ใช้ผ้าคล้องมือไว้กับคอ เป็นต้น
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เมื่อพ้น 12 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ก็แสดงว่าได้รับพิษไม่รุนแรง สามารถให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้

2.4 การรักษาบาดแผล ให้การดูแลรักษาแบบบาดแผลทั่ว ๆ ไป คือ

    ให้ยาป้องกันบาดทะยัก เนื่องจากเคยมีรายงานผู้ป่วยถูกงูกัดที่ดูแลแผลไม่ถูกต้องจนกลายเป็นบาดทะยักมาแล้ว
    บาดแผลที่เกิดจากงูกัด บางครั้งอาจกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) เนื่องจากพิษงู (พบมากในงูกะปะและงูเห่า) ถ้าแผลลุกลามเป็นวงกว้าง อาจต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)


การดูแลตนเอง

หากสงสัยถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว อย่าเสียเวลาลองรักษาเอง หรือรอสังเกตอาการ เนื่องจากหากมีอาการเกิดขึ้นแล้วค่อยไปพบแพทย์อาจได้รับการรักษาไม่ทันการ

เมื่อได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ ควรรับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรถามและขอคำแนะนำจากแพทย์ให้กระจ่าง

การปฐมพยาบาล
เมื่อถูกงูพิษหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด ผู้ป่วยควรตั้งสติ ลดความตื่นเต้นตกใจ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด อย่ารีรอจนพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก หรือรอให้มีอาการเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น แอลกอฮอล์, โพวิโดนไอโอดีน) ถ้ารู้สึกปวดแผลให้กินพาราเซตามอล ห้ามให้แอสไพรินเพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    พยายามเคลื่อนไหวแขนหรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ (เช่น ห้อยเท้าหรือมือส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ) ระหว่างเดินทางไปยังสถานพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยเดิน ควรให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในรถหรือแคร่หาม ทั้งนี้เพื่อชะลอไม่ให้พิษงูแล่นเข้าหัวใจ
    ควรดูให้รู้แน่ว่าเป็นงูอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจควรรีบถ่ายภาพงูไว้ หรือบอกให้คนอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยตีงูให้ตายและนำไปยังสถานพยาบาลด้วย  (อย่าตีให้เละจนจำลักษณะไม่ได้) แต่ถ้างูหลบหายไปก็ไม่ควรเสียเวลาในการตามหา
    ถอดเครื่องประดับ (เช่น แหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่ถูกงูกัด หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    อย่าทำการขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันพิษแล่นเข้าหัวใจตามความเชื่อเดิม เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว หากรัดแน่นและนานเกินไปอาจทำให้แขนหรือขาข้างที่รัดนั้นขาดเลือดไปเลี้ยงเกิดเนื้อตายได้
    อย่าพยายามบีบเลือด รีดหรือดูดพิษออกจากบาดแผล เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจทำให้แผลอักเสบได้
    อย่าใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อน จี้ที่แผลงูกัด และอย่าใช้มีดกรีดแผลเป็นอันขาดเพราะอาจทำให้เลือดออกมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เช่น งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้) หรืออาจตัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาท รวมทั้งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
    อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือกินยากระตุ้นประสาท รวมทั้งชา กาแฟ
    ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการหยุดหายใจ (จากงูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม) ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด

การป้องกัน

การป้องกันอาจทำได้ดังนี้

1. ควรใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ เมื่อจะเข้าไปในป่า สวนยางพารา สวนผลไม้ หรือที่รก

2. เวลาเดินทางผ่านท้องนา หรือทุ่งหญ้าในเวลากลางคืน ควรใช้ไม้หวดนำไปก่อน เพื่อไล่ให้งูหนีไป

3. เวลานั่งตามโคนไม้หรือขอนไม้ ควรสังเกตให้ทั่วเสียก่อนว่าไม่มีงูอยู่

4. ไม่ควรกางกระโจมนอนใกล้ก้อนหินหรือกองไม้ที่น่าสงสัยว่ามีงูอาศัยอยู่

5. ไม่ควรล้วงมือเข้าไปตามซอกหิน โพรงไม้หรือใต้แผ่นไม้ เพราะอาจมีงูซ่อนอยู่

ข้อแนะนำ

1. เมื่อถูกงูกัด ควรดูว่าเป็นงูอะไร หรือรีบถ่ายภาพงูไว้ เพื่อนำไปให้แพทย์ดู และรีบทำการปฐมพยาบาลที่ได้ผลและปลอดภัยตามขั้นตอนที่แพทย์แนะนำในปัจจุบัน ไม่ควรทำตามความเชื่อหรือสิ่งที่เคยแนะนำไว้แต่เดิมที (เช่น การขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล การใช้ปากดูดพิษจากแผลงูกัด ใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด การใช้มีดกรีดแผล) ซึ่งนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจมีโทษหรือเป็นอันตรายได้

2. ถ้าหากถูกงูพิษกัด ควรแนะนำให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการทั่วไป (เช่น หนังตาตก เลือดออก) เกิดขึ้นแล้ว การรักษาด้วยเซรุ่มแก้พิษงูและการรักษาแบบประคับประคองแก้ไขภาวะร้ายแรง (เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้เลือด การล้างไต) จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วและปลอดภัย 

งูพิษในประเทศไทย

1. งูเห่า (cobra/Naja) เป็นงูพิษที่มีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายมาก มีนิสัยดุ พบชุกชุมแทบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ แถบชานเมือง (เช่น ตำบลหนองงูเห่า อำเภอลาดกระบัง) สมุทรปราการ กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี เพชรบูรณ์ เป็นต้น

งูเห่ามีหลายชนิด พบแบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 3 ตระกูล คือ

    งูเห่าไทย (Naja kaouthia)
    งูเห่าพ่นพิษ (Naja siamensis เเละ Naja sumatrana)
    งูเห่าอินเดีย (Naja tripudians)

งูเห่ามีลักษณะหัวมน คอสั้น ตัวกลมยาวเรียวประมาณ 1-1/2 เมตร มีสีต่าง ๆ กันแล้วแต่ชนิด โดยทั่วไปมีสีดำ เขียวอมเทา น้ำตาล มีลักษณะพิเศษ คือ มันสามารถยกส่วนหัวขึ้นตั้งฉากกับพื้นได้ประมาณ 1/3 ของลำตัว และตรงลำคอสามารถแผ่ให้แบนออกได้ เรียกว่า แผ่แม่เบี้ย ส่วนบนด้านหลังของแม่เบี้ยจะมีสีแต้มต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงู เรียกว่า ดอกจัน มันจะแสดงอาการแบบนี้เวลาโกรธหรือตกใจ เป็นอาการเตรียมพร้อมที่จะกัด เขี้ยวพิษของงูเห่าสั้น ดังนั้นเวลากัดจึงต้องยกหัว แผ่แม่เบี้ยและฉกไปข้างหน้า งูเห่าจะออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน ส่วนมากตอนหัวค่ำถึงตอนดึก ชอบอาศัยอยู่ในทุ่งนา โพรงดิน ป่าละเมาะ ชายเขา มีพิษต่อประสาท

2. งูจงอาง (King cobra/Ophiohagus hannah) เป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวประมาณ 3.50-4.00 เมตร ยาวสุดอาจถึง 6 เมตร เป็นงูที่ดุร้ายอันตรายมาก ชอบอยู่ในป่าสูงทั่วไป มีชุกชุมมากในป่าภาคใต้ และภาคกลาง เช่น ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง กาญจนบุรี ลพบุรี ระยอง นครราชสีมา เป็นต้น

ลักษณะมีลายสีเหลืองหรือเขียวอมเทา ใต้คางมีสีเหลืองหรือส้ม บางชนิดหัวดำ หางดำ ตัวลายเป็นปล้องสีดำ สามารถแผ่แม่เบี้ยเช่นงูเห่า แต่ไม่มีดอกจัน ออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน โดยมากเป็นเวลากลางวันจนถึงพลบค่ำ ชอบนอนตามกอไผ่ กอหญ้า โพรงไม้ ซอกหิน มีพิษต่อประสาท

3. งูสามเหลี่ยม (banded krait/Bungarus fasciatus) ลักษณะตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีด้านท้องเป็นฐาน ตัวยาวประมาณ 2 เมตร ตัวมีสีเหลืองเป็นปล้อง ๆ สลับกับสีดำ บางชนิดหัวแดง หางแดง ตัวสีดำ เป็นงูบกที่ชอบออกหากินตามริมน้ำ บางครั้งลงว่ายในน้ำ เป็นงูที่ไม่มีนิสัยดุร้าย ไม่ทำร้ายคน ผู้ที่ถูกกัดมักจะเดินไปเหยียบมันเข้า หรือเดินผ่านไปขณะที่มันกำลังไล่กัดเหยื่อ ชอบอยู่ในที่มืดและซึมเซาเวลากลางวัน แต่ว่องไวมากเวลากลางคืน ออกหากินเวลาพลบค่ำถึงกลางคืน พบได้ทั่วไปทุกภาค มีพิษต่อประสาทและเลือด


งูทับสมิงคลา (Malayan krait/Bungarus candidus) เป็นงูสามเหลี่ยมพันธุ์หนึ่ง แต่ลำตัวกลม ไม่เป็นสามเหลี่ยม ลายสีดำสลับขาว คาดไม่รอบท้อง หางเรียวแหลมลงไปเรื่อย ๆ มีนิสัยปราดเปรียว เคลื่อนไหวเร็ว ชอบกัดคนตอนกลางคืน พบบ่อยในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพิษต่อประสาทและเลือดแบบเดียวกับงูสามเหลี่ยม

4. งูแมวเซา (Russell’s viper/Vipera russelli siamensis) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ตัวอ้วน คอเล็ก หางกลมยาวเรียว ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนปนเทา มีลายเป็นวงกลมหรือรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม มีนิสัยดุ แต่เชื่องช้า เวลาตกใจหรือระวังตัวจะขดตัวเข้ามา แล้วสูดหายใจเข้าออกแรง ๆ ทำให้มีเสียงเกิดขึ้น คล้ายเสียงแมวกรน (หรือแมวเซา) แต่ถ้าศัตรูเข้าใกล้จะฉกกัดได้ เขี้ยวยาวโง้ง และสามารถเคลื่อนไหวได้ เวลากัดจึงขยับเขี้ยวให้ฝังได้ถนัดและลึก ออกหากินเวลากลางคืน ชอบอาศัยอยู่ตามที่ดอน ในซอกหิน โพรงดิน พงหญ้า ชอบที่แห้ง ๆ มากกว่าที่แฉะ ๆ มีชุกชุมในภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี นครสวรรค์ เป็นต้น  มีพิษต่อเลือด


5. งูกะปะ (Malayan pit viper/Calloselasma rhodostoma) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ปากแหลม คอคอด หางสั้น เขี้ยวพิษยาวโง้ง ไม่ปราดเปรียว เมื่อตกใจจะงอตัวหรือขดนิ่ง แต่ฉกกัดรวดเร็ว เมื่อตกใจมากจวนตัวจะดีดตัวไปแทนการเลื้อย ลำตัวมีสีเทาอมม่วง มีลายเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะเมื่อน้ำค้างจัดและหลังฝนตก ชอบอาศัยอยู่ตามโคนไม้ใหญ่ที่มีใบแห้งทับถม พบชุกชุมในแถบที่เป็นดินทราย มีชุกชุมในจังหวัดภาคใต้ทุกจังหวัด และจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศ เช่น ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง ปราจีนบุรี นครนายก เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน มีพิษต่อเลือด


6. งูทะเล (sea snake/Hydropheinae เเละ Laticaudinae) ที่มีพิษ เช่น งูคออ่อน งูชายธง งูผ้าขี้ริ้ว งูฝักมะรุม มีอยู่ในอ่าวไทยทั่ว ๆ ไป พบได้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลทุกภาค มีลักษณะหัวและคอเล็กกว่าลำตัวมาก มีหางแบนสำหรับว่ายน้ำ มีท้องสีขาว และหลังเป็นลายดำ ๆ ส่วนมากไม่ดุ อ่อนเปลี้ยเมื่อขึ้นพ้นน้ำ แต่ว่องไวเมื่ออยู่ในทะเล ชอบอาศัยตามทะเลโคลนมากกว่าทะเลทรายน้ำใส มีพิษต่อกล้ามเนื้อ


7. งูเขียวหางไหม้ (green pit viper/Trimeresurus และ Ovophis) ในบรรดางูพิษอ่อนด้วยกัน งูเขียวหางไหม้นับว่ามีอันตรายมากที่สุด เพราะมีนิสัยดุ มีอำนาจพิษและปริมาณน้ำพิษมากที่สุดในพวกงูพิษอ่อน มีหัวป้อม เขี้ยวพิษยาวโง้ง ตัวอ้วนสั้น หางสั้น ตัวสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวแก่ หางสีน้ำตาลไหม้หรือสีแดง ชอบหากินเวลากลางคืน ชอบอยู่ตามสวนหรือในที่มืด เช่น ใต้ถุนบ้าน ตามลังหรือหีบเก็บของ มีชุกชุมทั่ว ๆ ไป พบมากที่กรุงเทพฯ ชลบุรี นครปฐม สระบุรี ลพบุรี มีพิษต่อเลือด


15
จัดฟันบางนา: เพิ่มความขาวของฟัน ด้วยการฟอกสีฟัน

หลายคนคงมี ปัญหาในเรื่องของสีของฟันซึ่งทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ สำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลืองคล้ำ จนหมดความมั่นใจสามารถแก้ไขได้ด้วยการฟอกสีฟัน ฟอกฟันขาว หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ฟอกฟันขาว ซึ่งการฟอกฟันขาวนั้นเป็นการเปลี่ยนสีฟันที่ขุ่น หมอง มีสีที่ผิดปกติให้กลับมาขาวสดใส โดยใช้สารหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับฟอกสีฟันให้ไปทำปฏิกิริยาทำให้สารที่เคลือบบนฟันหรือในเนื้อฟันแตกตัวออก ทำให้ฟันดูขาวขึ้น โดยการฟอกสีฟันนั้น ไม่ส่งผลต่อเคลือบฟันหรือโครงสร้างของฟันก่อนที่จะมาพูดถึงการฟอกสีฟันนั้น

เรามาพูดถึงปัญหาและต้นเหตุที่ทำให้ฟันมีสีที่เปลี่ยนไป สาเหตุที่ทำให้ฟันเหลือง ฟันคล้ำ ขุ่นหมอง เกิดได้จากหลายปัจจัยภายในตัวฟันและปัจจัยภายนอกของตัวฟันด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงปัญหาที่ทำให้เกิดฟันเหลืองและวิธีแก้ไขปัญหาด้วยการฟอกสีฟันว่าเกิดจากอะไรและสามารถแก้ไขได้อย่างไร สาเหตุที่ทำให้ฟันเรามีสีที่เปลี่ยนไปหรือฟันเหลืองนั้น เกิดจากปัจจัยภายในตัวฟันเช่น ฟันตายทำให้ไม่มีเลือดและประสาทมาหล่อเลี้ยงฟัน จึงทำให้มีสีทึบหรือมีการสะสมของสารมีสีขณะสร้างฟัน ทำให้ฟันมีสีคล้ำโดยธรรมชาติ หรือการได้รับยาบางชนิดในช่วงวัยเด็ก การเป็นโรคที่ส่งผลต่อความผิดปกติของโครงสร้างฟัน สำหรับปัจจัยภายนอกเช่นได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน เช่น การกระแทกทำให้มีการสะสมของคราบหรือสีบนฟันซึ่งเกิดจากพฤติกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา


สำหรับพฤติกรรมที่ทำให้ฟันมีสีที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ไม่ดีพอหรือไม่ถูกวิธีภายหลังจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แปรงฟันไม่สะอาดทำให้มีคราบอาหาร แบคทีเรียและหินปูนสะสมบนเนื้อฟัน รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่มีสี เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์หรือลูกอม และที่สำคัญคือพฤติกรรมการสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ทำให้ฟันมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้การรับยาบางชนิดเป็นเวลานาน ก็มีผลเช่นเดียวกันการมีอายุที่มากขึ้นทำให้เกิดการสะสมของเม็ดสีในเนื้อฟัน


สำหรับสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนั้นแม้จะเป็นปัญหาที่สามารถแก้ได้ยาก แต่ก็สามารถเปลี่ยนสีฟันให้กลับมาขาวสดใสได้ และทำให้มีรอยยิ้มที่มั่นใจได้ด้วยการฟอกสีฟัน ทั้งนี้การฟอกสีฟันไม่มีผลต่อการนำวัสดุมาอุดเติมและครอบฟันเดิม ฉะนั้นเมื่อฟอกสีฟันแล้วหากต้องการความสวยงามนั้น ไม่มีสีเหมือนฟันที่ฟอก การฟอกสีฟันเหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลือง ฟันมีสีคล้ำขุ่น ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุมาจากครอบฟันหรือเป็นสีฟันและยังเป็นวิธีที่สามารถทำเองได้ที่บ้านหรือไปทำที่คลินิกทันตกรรม หากคุณสนใจเข้ารับการฟอกสีฟันสามารถขอคำแนะนำหรือปรึกษาทันตแพทย์ของทางคลินิกได้เนื่องจากเรามีทั้งแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของทันตกรรมซึ่งจะทำให้คุณกับเขามีฟันที่ขาวสวยเป็นธรรมชาติได้อีกครั้ง

เพราะการฟอกสีฟันที่คลินิกโดยทันตแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นวิธีฟอกสีฟันที่เห็นผลได้ชัดเจนมากที่สุด เพราะการฟอกสีฟันที่ปลอดภัยที่สุด จะต้องทำที่คลินิกทันตกรรมโดยแพทย์เท่านั้น เนื่องจากต้องใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งคลินิกทันตกรรมก็จะมีการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป


วันนี้เราจะมาพูดถึงรูปแบบและเทคโนโลยีการฟอกสีฟันด้วยวิธีการต่าง ๆแบบแรกคือการฟอกสีฟันด้วยเลเซอร์อซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ที่มีความยาวและมีความร้อนต่ำมากมากระตุ้นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟันให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้นอต่อมาการฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Zoom ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงสีฟ้าชนิดเข้มข้น มากระตุ้นการทำงานของน้ำยาฟอกฟันไม่ทำให้สารในน้ำยาหอกฟันแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวของฟันและกำจัดคราบหรือเม็ดสีบนในหันได้เป็นอย่างดี โดยไม่ทำลายโครงสร้างของฟันและสุดท้ายคือการฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Cool Light เป็นการใช้แสงเย็นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟัน ให้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ซึ่งการฟอกสีฟันนั้นถือเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลือง ฟันคล้ำ ทำให้ไม่มีความมั่นใจ หากใครสนใจเข้ารับการฟอกสีฟันสามารถติดต่อขอคำแนะนำได้จากทางคลินิกเพราะเรามีทีมแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทางด้านทันตกรรมแบบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างครบวงจร จึงทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 101