ผู้เขียน หัวข้อ: ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: Covid-19 : 4 สายพันธุ์อันตรายในไทยที่ต้องระวัง!  (อ่าน 5 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1457
  • ขายฟรีสินค้าในไทย,ลงประกาศฟรี,ทุกหมวดหมู่,เวบบอร์ดรองรับ SEO
    • ดูรายละเอียด
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: Covid-19 : 4 สายพันธุ์อันตรายในไทยที่ต้องระวัง!

ข้อมูลเกี่ยวกับ "4 สายพันธุ์อันตรายในไทยที่ต้องระวัง" อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาด การกลายพันธุ์ของไวรัส และข้อมูลการเฝ้าระวังจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และองค์การอนามัยโลก (WHO)

ณ ปัจจุบัน (กลางปี 2568) ไม่มีสายพันธุ์โควิด-19 ใดที่ถูกจัดเป็น "อันตราย" ในระดับที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าในภาพรวมอย่างชัดเจน แต่อาจมีสายพันธุ์ที่ต้อง "เฝ้าระวัง" เป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มแพร่กระจายได้เร็ว หรือหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ

จากการค้นหาข้อมูลล่าสุดในประเทศไทย ณ ช่วงกลางปี 2568 สายพันธุ์ที่ถูกกล่าวถึงและเฝ้าระวังในประเทศไทย ได้แก่:

JN.1: เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่เคยเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดมากที่สุดในไทย และยังคงพบอยู่

XEC: เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงไทย แม้อาการไม่รุนแรงในผู้ป่วยทั่วไป แต่แพร่เร็วกว่าเดิม

NB.1.8.1 (ชื่อเล่น "Nimbus"): เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของโอมิครอน (JN.1 และ XBB ผ่าน XDV.1.5.1) ที่พบการระบาดระลอกล่าสุดในไทยช่วงกลางปี 2568 มีลักษณะเด่นคือติดเชื้อง่ายและแพร่กระจายเร็ว

XFG: เป็นสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เคยระบุว่าต้องจับตา เนื่องจากแพร่กระจายได้เร็วและหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้ป่วยรุนแรง

สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "สายพันธุ์อันตราย":

ความรุนแรงของโรค: โดยส่วนใหญ่ สายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าทำให้เกิดอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์ดั้งเดิม โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสี่ยงยังคงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

การแพร่กระจาย: สายพันธุ์ใหม่ๆ มักจะมีความสามารถในการแพร่กระจายที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งหมายความว่าอาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ง่าย ทำให้เกิดระลอกการระบาดใหม่ๆ


อาการของสายพันธุ์ที่พบในปัจจุบัน (Omicron Subvariants):

อาการโดยทั่วไปของสายพันธุ์เหล่านี้ยังคงคล้ายคลึงกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ได้แก่:

ไข้ (มักเป็นไข้ต่ำ)

ไอ (อาจมีหรือไม่มีเสมหะ)

เจ็บคอ (บางรายอาจมีอาการเจ็บคอมาก)

น้ำมูกไหล หรือคัดจมูก

อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว

ปวดศีรษะ

อาจมีอาการคล้ายภูมิแพ้ หรือตาแดง

วิธีการป้องกันและรับมือในปัจจุบัน:

เนื่องจากหลักการของไวรัสยังคงเดิม มาตรการป้องกันจึงยังคงใช้หลักการเดิมที่ได้ผลดี คือ:

ฉีดวัคซีนให้ครบและรับเข็มกระตุ้น: โดยเฉพาะกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์) เพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต

สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี หรือเมื่อมีอาการป่วย

ล้างมือบ่อยๆ: ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์

รักษาระยะห่าง: หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มในพื้นที่ปิด หรือสถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

เมื่อมีอาการสงสัย: รีบตรวจ ATK และแยกตัวจากผู้อื่น หากผลเป็นบวก ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

สิ่งสำคัญคือ การติดตามข้อมูลและคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์และสายพันธุ์ที่ระบาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา