ผู้เขียน หัวข้อ: motor expo: ลองก่อนขายจริง NETA X ขับดีมั้ย พร้อมลอง ADAS ใน NETA V-II ใหม่  (อ่าน 87 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 899
  • ขายฟรีสินค้าในไทย,ลงประกาศฟรี,ทุกหมวดหมู่,เวบบอร์ดรองรับ SEO
    • ดูรายละเอียด
motor expo: ลองก่อนขายจริง NETA X ขับดีมั้ย พร้อมลอง ADAS ใน NETA V-II ใหม่

ลองขับ 2 รุ่นใหม่ NETA X และ NETA V-II โดยรุ่น Neta V-II นั้นเริ่มขายและส่งมอบแล้ว มีทั้งรุ่น Lite 549,000 บาท และ Smart ADAS 569,000 บาท ณ  ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ฉะเชิงเทรา

 
กิจกรรมนี้จัดขึ้นในสนามทดสอบยางล้อ ฉะเชิงเทรา โดยทดสอบคนละ 2 รุ่น NETA X และ V-II สลับกัน ซึ่งใน NETA V-II จะเน้นการทดสอบระบบ ADAS level2 ของรุ่น Smart เป็นหลัก ส่วน X จะลองขับในสนามทดสอบตามสถานีต่าง ๆ
 
 
เจาะความใหม่ใน NETA X
 
NETA X รถยนต์ SUV ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้ทั้งครอบครัว มิติรถยาว 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,628 มม. ระยะฐานล้อ 2,770 มม. มีความสูงใต้ท้องที่ไม่มากนักคือ 135 มม. ไฟหน้า ไฟท้าย LED รูปทรงขึ้นอยู่กับความชื่นชอบแต่ละบุคคล ส่วนตัวนับว่าออกแบบได้ลงตัว สมส่วนกว่าใน NETA V-II ที่ส่วนท้ายลาดลงจะแปลกตา หลังคาซันรูฟยาวเต็มพื้นที่และเปิดได้พร้อมแผ่นบังแดดแบบบาง ๆ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และยางที่นำเข้ามาพร้อมตัวรถขนาด 225/60R18 จากประเทศจีน
 

โดยขนาดของ NETA X นั้นจะเทียบเคียงกับคู่แข่งอย่าง ATTO 3, AION Y แต่ยังไม่เท่ากับ Deepal S07 หากเป็นรถน้ำมันก็ "ใหญ่กว่า" HR-V แต่เล็กกว่า CR-V หรือว่า "ใหญ่กว่า" Toyota Corolla Cross
 

NETA X
ความยาว 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,628 มม. ระยะฐานล้อ 2,770 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 135 มม.ล้ออัลลอย 18 นิ้ว
Deepal S07
ความยาว 4,750 มม. กว้าง 1,930 มม. สูง 1,625 มม. ระยะฐานล้อ 2,900 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 165 มม.ล้ออัลลอย 20 นิ้ว
BYD Atto3
ความยาว 4,455 มม. กว้าง 1,875 มม. สูง 1,615 มม. ระยะฐานล้อ 2,720 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 175 มม.ล้ออัลลอย 18 นิ้ว           
ORA Goodcat (ขอเทียบตัวถังแบบรถเก๋ง)
ความยาว 4,235 มม. กว้าง 1,825 มม. สูง 1,596 มม. ระยะฐานล้อ 2,650 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 145 มม.ล้ออัลลอย 18 นิ้ว 
Aion y plus
ความยาว 4,535 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,650 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 150 มม.ล้ออัลลอย 18 นิ้ว
 

ภายในฟังก์ชั่นครบจอกลางใหญ่ใช้งานง่าย
 
ภายในเด่นด้วยโทนสี "ช้าเย็น" และ "สีดำ" (ขึ้นกับสีภายนอก) จอกลางขนาด 15.6 นิ้ว ระบบใหม่ สามารถตั้งหน้าจอได้ตามต้องการ Custom ที่แยกแบ่งจอได้ 2 โซน มาตรวัดคนขับขนาดเล็กแบนยาวแต่ก็มองชัดเจน พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมซ้ายและขวา โดยจะทำหน้าหน้าเพิ่มมาอีกอย่างคือ ปรับกระจกมองข้าง โดยเลือกหน้าจอและปรับที่ปุ่มบนพวงมาลัยได้ตามฝั่งซ้ายและขวา พร้อมกับเบาะคู่หน้าไฟฟ้าเบาะเลื่อนเข้าออกและลดระดับต่ำลงให้เข้าออกง่าย
 
เสียดายที่กระจกมองหลังยังปรับลดแสงด้วยมือ แต่ก็พอมองข้ามไปได้ถ้าราคาไม่ข้าม 9 แสนบาท ต่อที่ระบบการควบคุมจะใช้งานบนจอกลางเกือบทุกอย่าง รวมถึงการเปิด-ปิดซันรูป, ปรับกระจกมองข้าง, เปิด-ปิดไฟหน้า/ตัดหมอก, เปิดท้ายรถ, ระบบ Auto hold เป็นต้น นับว่าเยอะเอาเรื่องต้องใช้งานให้คุ้นเคยอยู่หลายชั่วโมง แต่ก็ยังดีที่เหลือการปรับช่องแอร์แบบแนมนวลดั่งเดิมเอาไว้

แต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่คุ้ยเคยอยู่บ้างอย่างเช่น สวิตช์กระจกจะเป็นแบบ โยกไปหน้า = ลง และดึงเข้าหาตัว = ปิด และปุ่นล็อค/ปลดล็อคประตูมีอันเดียว การปรับกระจกมองข้างต้องกดที่จอกลางก่อนจึงค่อยใช้งานปุ่มตรงนิ้วโป้งซ้ายหรือขวาบนพวงมาลัยเพื่อปรับ ส่วนสวิตช์ไฟฉุกเฉินอยู่บนหัวติดกับไฟส่องแผ่นที่ กว่าจะหาเจอเล่นเอางงอยู่นานเลยครับ
 
 
ขุมพลังไม่เน้นแรงนุ่มนวลปรับตัวง่าย
 
ขุมพลังมอเตอร์ 163 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ระยะวิ่งสูงสุด 480 กม. NEDC หรือ 500 CLTC 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.5 วินาที พร้อม 3 โหมด Eco/Narmal/Sport เพียงพอต่อการใช้งาน แม้จะไม่หวืดหวาเหมือนคู่แข่งหรือว่ารถระดับเดียวกัน แต่ก็มีให้ใช้งานอย่างสบาย ๆ แล้ว โดยแรงบิดระดับนี้เทียบได้กับเครื่องยนต์เบนซินล้วน ๆ ไม่มีเทอร์โบขนาด 2.0 - 2.5 ลิตรเลยทีเดียวครับ รับรองว่าใช้งานสบายหายห่วง
 
ส่วนระบบทืี่น่าสนใจมากคือตัวช่วยในการขับขี่มากกว่านั่นคือ ADAS Level 2.5 เพิ่มมาอีกจุดห้าเชียวเรียกว่าฉลาดแสนรู้และทำงานฉับไวมากขึ้น โดยการทดลองขับในสนามครั้งอาจจะไม่ได้ลองแบบเต็มที่มากนัก แต่ก็ได้ลองขับทั้งการสลาล่อมในความเร็ว 50 กม.ชม. เลนเชนจ์ที่ไม่เกิน 60 กม./ชม. มีแอบเกิน ๆ ไปบ้าง และเข้าทางโค้งยาว ๆ ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. สรุปได้ว่า "โคลงตัวเล็กน้อย" มีความนุ่มนวลและพวงมาลัยยังมีจังหวะ "หวืด ๆ " ไม่กระชับตามการบังคับเลี้ยว แต่ที่แปลกคือ "ตัวรถก็ยังทรงตัวได้ดี"  ผู้ขับอาจรู้สึกว่ามัน หวิว ๆ แต่รถสามารถควบคุมได้ปกติ จึงคาดว่านอกจากช่วงล่างที่ออกแบบให้ใช้งานสบาย ๆ นุ่มนวล แต่ก็ยังให้ความหนึบพอตัว

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ยางติดรถมานั้นอาจจะยังไม่เกาะเท่าที่ควร (แม้จะเป็นยี่ห้อดังในจีนแต่อาจเป็นรุ่นเริ่มต้นเท่านั้น) เพราะในการขับบางจังหวะนั้น ระบบควบคุมการทรงตัวและระบบป้องกันการลื่นไถลนั้น ทำงานบ่อยมาก ๆ หากเป็นไปได้เปลี่ยนยางรุ่นที่ หนึบ ๆ ขึ้นกว่านี้อาจจะทำให้การควบคุมกระชับมากขึ้นอีก
 

NETA V-II เพิ่มเติม ADAS Level 2

Neta V-II ภายนอกมีการปรับเปลี่ยนไม่มากนัก เช่น กระจังหน้า เฉดสีตัวรถ ไฟท้ายแบบใหม่ที่มีเส้นลากยาวและไฟหน้าแบบ LED Projector แล้ว ส่วนภายในก็ปรับโทนสีเล็กน้อย แต่มีการอับเกรดจอกลางเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดให้ไหลลื่นและใช้งานง่ายขึ้น
 
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นใหม่นี้ (รุ่น Smart) ADAS Level 2 ที่ทัยสมัยมากขึ้นติดตั้งเข้าไปทำให้ Neta V-II กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นประหยัดที่ได้ฟังก์ชั่นแบบจุก ๆ มากที่สุดเมื่อเทียบค่าตัวที่ไม่แรงมาก
 
การทดสอบครั้งจะเน้นการทำงานระบบ ADAS ในสนามปิดแห่งนี้ทั้งการใช้ระบบควบคุมความเร็วแปรผัน ที่ตรวจจับรถที่จะเบียดเข้าเลยด้านหน้าได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการตรวจจับรถด้านหน้าและชะลอเบาเบรกเมื่อรถที่ขับตามอยู่เกิดเปลี่ยนเลนอย่างกระทันหัน นับว่าระบบใหม่นี้ทำงานได้นุ่ในวลมาก ๆ ครับ
 

สรุปความคุ้มค่าทั้ง 2 รุ่น (แบบขับคันละ 1 ชม.เอง!)
 
สำหรับความคุ้มค่าขอเริ่มรุ่น Neta V-II นับเป็นรถที่เน้นการใช้งานแบบทั่วไปในเมืองเป็นหลักและได้ระบบความปลอดภัยที่ครบเทียบเท่ากับรถระดับพรีเมี่ยมเลย การขับขี่ที่ปรับปรุงเรื่องช่วงล่างให้แน่นขึ้น ขับแล้วกระชับมากขึ้น
 
ส่วนใน Neta X เป็นรถยนต์ครอบครัวที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นสะดวกสบาย ระบบความปลอดภัยครบถ้วนโดยเฉพาะเป็น ADAS Level 2.5 ที่มั่นใจมากขึ้น สมรรถนะอาจไม่โดดเด่นกว่ารถในกลุ่มระดับเดียวกัน แต่ได้ความพรีเมี่ยมและใหม่สด ๆ โดยในวันที่รีวิวนั้นยังไม่ประกาศราคา และอาจจะมี 2 รุ่นด้วยกัน ซึ่งคาดการว่าราคารุ่นเริ่มต้นน่าจะอยู่ที่ 7 แสนปลาย ๆ หรือรุ่นท็อปควรไม่เกิน 9 แสนบาท หรือรุ่น ถ้าเป็นราคาระดับนี้ ถือว่าคุ้มสุดในรถระดับเดียวกันแล้วครับ